น้ำดื่ม มีวันหมดอายุด้วยหรือ


น้ำดื่ม "เก่า" ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคแต่อย่างใด แต่เหตุผลที่บริษัทผู้ผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด เลือกที่จะระบุ วันหมดอายุไว้บนผลิตภัณฑ์ของตน ก็เพื่อให้ ผู้บริโภคมั่นใจว่าพวกเขาได้ซื้อสินค้าที่ใหม่ สด ถูกสุขอนามัย

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บริษัทที่ระบุ วันหมดอายุ ย่อมได้เปรียบเหนือบริษัทคู่แข่ง ที่ไม่ให้ความสนใจในเรื่องนี้โดยเฉพาะ ในยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคสินค้าเพื่อสุขภาพมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น

ในความเป็นจริงการเสื่อมสภาพที่สำคัญของน้ำดื่มน่าจะมีอยู่เพียงประการเดียว คือ การสูญเสียก๊าซคอร์บอนไดออกไซด์ ที่ทำให้น้ำดื่ม เป็นฟองฟู่ เจ้าหน้าที่ควบคุมคุณภาพของบริษัท เปอริเอ้ อธิบายว่า น้ำดื่มบรรจุขวด ส่วนใหญ่ จะระบุวันหมดอายุไว้สองปีหลังจากวันผลิต เพราะว่าภาชนะบรรจุบางประเภทจะเสื่อมสภาพ เมื่อถึงเวลานั้นโดยเฉพาะขวดพลาสติก ซึ่งอาจทำให้รสชาติของน้ำเสียไป ตัวน้ำดื่มเองนั้นไม่เสื่อมสภาพ แต่อย่างใด ผู้ผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดในสหรัฐฯ บางราย ยืนยันว่า ถ้าเก็บรักษาน้ำดื่มบรรจุขวดให้พ้นจากอุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็นจัด น้ำดื่มบรรจุขวดจะไม่มีวันหมดอายุเลย


วันหมดอายุ ยังช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า น้ำดื่มอัดก๊าซ ที่ซื้อมาจะยังเป็นฟองฟู่ เมื่อเปิดออกดื่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สามารถซึมผ่าน ภาชนะบรรจุพลาสติกออกไปได้ ด้วยเหตุนี้ เบียร์จึงผลิตออกจำหน่ายในกระป๋องอะลูมิเนียมและขวดแก้ว แทนที่จะเป็นภาชนะพลาสติก


สำหรับน้ำดื่มบรรจุขวดของไทย ซึ่งคุณภาพดีบ้างไม่ดีบ้างนั้น เคยมีผู้ร้องเรียนว่าน้ำดื่มบางยี่ห้อ มีตะไคร่อยู่ที่ก้นขวด บริษัทผู้ผลิตให้คำตอบว่าน้ำดื่มบรรจุขวด แม้จะผ่านการกรองมาอย่างดี ขนาดไหนก็ตามแต่ถ้าปล่อยให้ถูกแสงแดดเป็นเวลานานๆ ก็มีโอกาสที่จะเกิดตะไคร่ได้ บางบริษัทจึงระบุ วันหมดอายุ ไว้ด้วยเพื่อกันไม่ให้ เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น

มีอะไรอยู่ใน น้ำอัดลม ?

ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมรสไหน ชนิดไหนก็มีองค์ประกอบหลักเหมือนกัน คือ น้ำ, น้ำตาล, กรดคาร์บอนิก, กรดฟอสฟอริก, คาเฟอีน, สีและกลิ่นหรือรส รวมถึงสารกันบูด เมื่อเราทราบถึงองค์ประกอบของมันแล้ว เรามาวิเคราะห์กันดีกว่าว่าสารเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีประโยชน์หรือเป็นโทษอย่างไร มีผลกระทบต่อร่างกายเราอย่างไร

เริ่มจากองค์ประกอบแรกและเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของน้ำอัดลม คือ น้ำ นั่นเอง ร่างกายเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบประมาณ 60-70% นอกจากน้ำจะทำให้เราสดชื่นแล้ว น้ำยังเป็นตัวรักษาสมดุลต่างๆ ให้กับร่างกาย เช่น ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิคงที่ เพราะน้ำมีความจุความร้อนมาก ช่วยละลายสารอาหารต่างๆ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ ทำให้เซลล์ต่างๆ ดูดซึมสารอาหารและนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้ยังช่วยในระบบขับถ่าย และเจือจาง สารพิษที่ร่างกายได้รับอีกด้วย แต่น้ำไม่ได้ให้พลังงานแก่ร่างกายแต่อย่างใด

คนกินหวาน ระวังสมองเฉื่อย ความต้านทานต่ำ

คงเป็นข่าวร้ายพอสมควร สำหรับบรรดา "ชมรมคนรักความหวาน" ที่ชื่นชอบ "น้ำตาล" เป็นชีวิตจิตใจ

เพราะผลวิจัยทางการแพทย์สรุปออกมาแล้วว่า มีภยันตรายที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้ความหวานนั้นมากมายทีเดียว

แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ เมื่อได้ตรวจสอบข้อมูลไปยังกระทรวงสาธารณสุขที่เฝ้าติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลของคนไทยทำให้พบว่า ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มเฉลี่ยจากคนละ 12 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2526 กลายเป็นคนละ 29 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2545

เรียกว่า เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 2 เท่าตัว

ซ้ำร้ายดัชนีที่เกิดขึ้นยังเป็นแนวโน้มเดียวกันกับการบริโภคน้ำตาลในรูปแบบขนม ลูกอมและเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ซึ่งปรากฏชัดเจนกับเด็กรุ่นใหม่ที่กระแสบริโภคถูกกระตุ้นโดยการโฆษณา

"จากข้อมูลทางโภชนาการและสุขภาพ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินควร นอกจากนำมาซึ่งปัญหาโรคอ้วนและโรคฟันผุแล้วการรับประทานน้ำตาลมากๆ มีอันตรายต่อสุขภาพหลายประการโดยน้ำตาลซูโครสหรือฟรุกโตส จะทำให้ระดับไขมัน กลูโคส อินซูลินและกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคเบาหวาน

"ผู้ที่ชอบกินหวานจัดบ่อยๆ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไป ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้ การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อยๆ ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง อีกทั้งการรับประทานน้ำตาลซูโครสมาก ทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง ผลที่ตามมาก็คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ซึ่งหากเป็นในเด็กจะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็นวัยทำงานก็จะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ" นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลถึงอันตรายจากการบริโภคน้ำตาล เมื่อติดตามพิษร้ายที่เกิดจากความหวานต่อไป ก็ทำให้ได้ข้อมูลอีกด้วยว่า การรับประทานอาหารรสหวานมากไป จะทำให้เด็กอิ่มและตัดโอกาสที่เด็กจะได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย

ผลการศึกษาในปี พ.ศ.2546 พบว่าเด็กกลุ่มอายุ 6-15 ปี ได้รับอาหารที่ให้พลังงานมากถึง 23 % สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 10 % กว่าเท่าตัว ตรงนี้บ่งชี้ว่า สถานการณ์การกินหวานในเด็กไทย อยู่ในขั้นที่ควรร่วมกันแก้ไขโดยด่วน

"ในความเป็นจริงนั้น การติดหวานสามารถถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วัยเริ่มต้นของชีวิต โดยพ่อแม่และผู้ใหญ่เป็นกลุ่มแรกที่สร้างภาวะให้เด็กติดหวาน เนื่องจากบริโภคนิสัยของเด็กจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงขวบปีแรก เริ่มจากนมและอาหารเสริมที่ป้อนให้ เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กจะติดอาหารหวานและจะเพิ่มปริมาณความหวานมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากคนที่เคยชินรสหวาน เมื่อได้รสหวานสมองจะหลั่งสารชนิดหนึ่งเรียกว่าโอปิออยด์( Opioid) ออกมาทำให้เกิดความพอใจ และอยากกินหวาน ทำให้อ้วนได้เร็ว

"ดังนั้น นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนในเรื่องนี้อย่างจริงจังโดยเริ่มจากส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่แทนนมขวด พร้อมทั้งจะมีการประกวดโรงพยาบาลปลอดนมขวดทั่วประเทศ ส่งเสริมให้เด็กกินนมรสจืด แทนนมรสหวานหรือนมปรุงรส ส่งเสริมให้เด็กกินผลไม้ที่รสไม่หวานแทนการกินขนมหวาน และรณรงค์ให้งดการเติมน้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว อีกทั้งให้งดการดื่มน้ำอัดลมและอมท๊อฟฟี่ด้วย" ปลัดกระทรวงสาธารณสุขสรุปแผนการรณรงค์เพื่อให้เด็กไทยรอดพ้นจากการบริโภคความหวานมากเกินไปทิ้งท้าย

เคล็ดลับน่ารู้ วิธีทำให้สดชื่นหลังตื่นนอน

หลังจากที่ตื่นนอน บางครั้งอาจจะเกิดอาการอ่อนเพลีย วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีทำให้สดชื่นหลังตื่นนอนมากฝากกัน…


- เริ่มต้นด้วยการเดินไปหยิบน้ำมาดื่มสักแก้วใหญ่ ให้ชื่นใจ การดื่มน้ำนั้นเป็นการเติมน้ำให้กับร่างกาย หลังจากร่างกายของเราพักผ่อนมาทั้งคืน ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น

- ใช้เวลาสัก 5-10 นาที ออกกำลังกายยืดเส้นกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย วิธีการนี้จะเหมือนกับการบิดขี้เกียจตอนเช้า เน้นการยืดในส่วนที่ต้องใช้บ่อย ๆ ในการทำงาน เช่น ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานทั้งวันนั้น เป็นไปได้ว่าต้องเน้นการออกกำลังที่ส่วน กล้ามเนื้อบริเวณคอ หัวไหล่ แขน และฝ่ามือ

- การรับประทานธัญพืช และอาหารที่มีโปรตีนบ้างในมื้อเช้า ลดอาหารจำพวกแป้ง การรับประทานอาหารในช่วงเช้านั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นการเตรียมพร้อมให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน

- การเปลี่ยนเครื่องดื่ม เลิกดื่มกาแฟแล้วหันมาดื่มชาขิง เพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

"ระวัง" นอนมากกว่า 8 ชม. อาจเป็นอัลไซเมอร์

อันตราย! ผลวิจัยระบุคนที่นอนเกินวันละ 8 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นพวกนอนจนตะวันสายโด่ง หรือพวกที่แอบหลับตอนบ่าย มีแนวโน้มเพิ่มเท่าตัวที่จะเป็น โรคอัลไซเมอร์

แม้ เหตุผลในเรื่องนี้ยังไร้ซึ่งความชัดเจน แต่อาจเป็นไปได้ว่าการนอนมากเกินไปเป็นสัญญาณเบื้องต้นของโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคสมองเสื่อมแบบอื่นๆ นอกจากนั้น ยังเป็นสัญญาณของอาการซึมเศร้า ซึ่งรู้กันว่าเพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมในผู้สูงวัย
ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจึงเรียกร้องให้แพทย์ค้นหาพฤติกรรมการนอนนานผิดปกติ เพื่อเตือนถึงความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์

งานวิจัยล่าสุดนี้จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมาดริด สเปน โดยการศึกษาชาย-หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 3,286 คน

กลุ่ม ตัวอย่างแต่ละคนจะถูกสอบถามประวัติสุขภาพและรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น นอนเฉลี่ยวันละกี่ชั่วโมง โดยครอบคลุมการงีบหลับตอนกลางวันด้วย

จาก นั้น นักวิจัยจะติดตามผลกลุ่มตัวอย่างนานกว่าสามปี ซึ่งปรากฏว่าในระหว่างนั้นมี 140 คนที่มีอาการอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อมรูปแบบอื่นๆ

ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่นอนวันละเกิน 8-9 ชั่วโมง มีแนวโน้มเป็นโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นเท่าตัว

ในรายงานที่อยู่ในวารสารยูโรเปียน เจอร์นัล ออฟ นิวโรโลจี้ นักวิจัยระบุว่าได้ค้นพบความเชื่อมโยงชัดเจนระหว่างการนอนนานๆ กับโรคสมองเสื่อม

? การ นอนนานๆ อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของโรคนี้ หรืออาจทำให้ความเสี่ยงโรคนี้เพิ่มขึ้น แต่กลไกของความเชื่อมโยงนี้ยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้?

ดร.ซูซานน์ ซอเรนเซน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของอัลไซเมอร์ โซไซตี้ แสดงความเห็นว่า รายงานฉบับนี้สะท้อนว่าการนอนนานกว่าปกติและความรู้สึกง่วงเหงาซึมเซา ระหว่างวัน อาจเชื่อมโยงกับการเป็นโรคสมองเสื่อมภายในสามปี

? ไม่ มีความเชื่อมโยงอย่างเป็นรูปธรรมที่บ่งชี้ว่าการนอนนานกว่าปกติเป็นปัจจัย เสี่ยงโดยตรงของโรคสมองเสื่อม แต่อาจเป็นเพียงสัญญาณเบื้องต้นของอาการที่ยังตรวจไม่พบเท่านั้น เนื่องจากขณะนี้มีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ได้รับการวินิจฉัยโรคอย่างเป็นทางการ ดังนั้น จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันงานศึกษา ล่าสุดนี้?

อัลไซเมอร์ นั้นเป็นตัวทำลายสารสื่อสารในสมอง โดยเริ่มต้นจากการที่ตะกอนพิษสะสมในสมอง และขัดขวางระบบการสื่อสารปกติโดยทำให้เกิดการอักเสบ

แม้ยังไม่ทราบ สาเหตุที่แน่ชัด แต่นักวิจัยแนะนำให้ลับสมองเป็นประจำ เช่น โดย การเล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ เล่นไพ่ อ่าน-เขียนหนังสือ นอกจากนั้น ผลวิจัยที่เปิดเผยออกมาเมื่อต้นสัปดาห์ยังพบว่า การออกกำลังกายเป็นประจำและกินอาหารที่อุดมด้วยผัก ผลไม้ น้ำมันปลา และถั่ว ช่วยลด ความเสี่ยงอัลไซเมอร์ได้ถึง 80%

ขณะ เดียวกัน การศึกษาที่ออกมาเมื่อต้นปี พบว่าการนอนมากเกินไปมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคเบาหวานประเภทสอง โดยการนอนหลับหลังอาหารกลางวันเป็นประจำเพิ่มความเสี่ยง 26% ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวไปขัดขวางการรักษาสมดุลฮอร์โมนในร่าง กาย

กินไข่ดาวไม่สุก ระวัง!!!!!!!

กินไข่สุกๆ ดิบๆ ระวังมีโทษต่อร่างกาย



อาหารที่ทำจากไข่ ไม่ว่าจะเป็น ไข่ต้ม ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ลวก ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ ไข่ยัดไส้ และอีกสารพัดเมนูไข่ คงจะคุ้นปากคนไทยเป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่า หากเราปรุงไข่แบบ สุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะ ไข่ดาว ไข่ลวก แทนที่จะได้ประโยชน์อาจเป็นโทษต่อร่างกาย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ อธิบายว่า ในไข่ 1 ฟอง ไข่แดงจะเป็นก้อนไขมัน ไม่มีโปรตีน แต่กลับกัน ไข่ขาวจะไม่มีไขมัน มีแต่โปรตีนอย่างเดียว ไข่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ไม่ว่าเบอร์เล็กหรือเบอร์ใหญ่ สิ่งที่เหมือนกัน ไข่แดง ขนาดเดียวกันหมด แต่ที่ต่างกัน คือไข่ขาว ตรงนี้คนมักจะไม่ค่อยรู้

โทษของไข่ดิบ
มีคนเข้าใจว่าการกินไข่ดินวันละฟองในตอนเช้าจะรักษาเสียงได้ดี ความจริงแล้วการกินไข่ดิบ
ทำให้ร่างกายได้รับธาตุบำรุงจากไข่เพียงครึ่งเดียว
ในไข่ดิบมีโปรตีนที่เป็นปฏิชีวนะอยู่ ถ้าเรากินไข่ดิบบ่อยๆ โปรตีนชนิดปฏิชีวนะที่สะสมอยู่ในร่างกายจะขัดขวางไม่ให้ร่างกายได้รับ วิตามินB1 นอกจากนั้นถ้าไก่เป็นโรคไข่จะติดตามมาด้วย จึงอาจทำให้ผู้กินไข่ดิบติดโรคได้ จึงควรกินไข่ที่สุกเพื่อร่างกายจะได้รับสารอาหารทั้งหมดได้ ดังนั้น ไม่ควรกินไข่ดิบหรือไข่ครึ่งสุกครึ่งดิบเพื่อความปลอดภัยของ
ร่างกาย ส่วนในการทอดไข่ดาวนั้น ไม่ควรทอดเพียงด้านเดียว ควรพลิกทอดทั้ง 2 ด้าน เพื่อประกันว่าได้ฆ่าเชื้อโรคหมดแล้ว

การกินไข่ดิบ หรือไข่ที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆเช่น ไข่ดาว ไข่ลวก ถ้าไข่แดงเป็นยางมะตูมอาจจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่ากับกินไข่ขาวที่เป็นยางใส ๆ เพราะไข่ขาวจะย่อยยาก เนื่องจากไข่ขาวดิบทั้งหมดเป็น "อัลบูลมิน" ถ้าไม่สุกจะทำให้มีปัญหาเรื่องลำไส้ ไม่ค่อยย่อย ยิ่งถ้าเป็นคนแก่จะไม่มีน้ำย่อยมาย่อย "อัลบูลมิน"

นอกจากนี้การกินแต่ไข่ขาวเพียงอย่างเดียว เพราะกลัวไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง จะทำให้โปรตีนในไข่ขาวตัวหนึ่ง ชื่อ "อะวิดิน" ไปจับกับ "ไบโอติน" ในร่างกาย ซึ่ง "ไบโอ ติน" เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นผม และสุขภาพผิว อีกทั้งการกินแต่ไข่ขาวอย่างเดียวร่างกายจะไม่ได้ "ไบโอติน" ที่อยู่ในไข่แดง แถม "อะวิดิน" ก็ไปจับกับไบโอตินอีก สรุปว่าต้องกินทั้งไข่ขาวและไข่แดง ด้วยการปรุงสุกเท่านั้น จะเป็นไข่ไก่ หรือไข่เป็ดก็ได้ ถ้าจะให้ดีควรต้มดีที่สุด เพราะถ้าทอดหรือเจียว เรามักจะทอดกับน้ำมันพืช ซึ่งมีโอเมก้า 6 จะยิ่งไปต้านโอเมก้า 3 ในไข่

ด้าน นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การกินไข่สุก ๆ ดิบ ๆ ไม่ได้ให้ประโยชน์เต็มที่ แถมย่อยยาก และอาจมีเชื้อซาโมเนลลา หรือ อี.โคไล ที่ก่อโรคระบบทางเดินอาหาร และที่สำคัญอาจจะไม่ปลอดจากเชื้อไข้หวัดนก สรุปว่า กินไข่ดิบ ๆ สุก ๆ ไม่มีประโยชน์ สู้กินไข่สุกไม่ได้

ที่ผ่านมาสังคมไทยกลัวไข่มาก ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด พอพูดถึงไข่ปุ๊บ มองไข่ในเชิงลบ ว่า มีคอเลสเตอรอลสูง จริงอยู่ไข่มีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากด้วย แถมราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับโปรตีนประเภทอื่น ๆ

ก่อนที่จะกินไข่ ต้องดูก่อนว่า สุขภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ไขมันในร่างกายไม่สูง ไม่เป็นเบาหวาน ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไม่เป็นโรคเรื้อรังอะไร ผู้ใหญ่สามารถกินไข่ได้สัปดาห์ละ 3-4 ฟอง แต่ถ้าไขมันในเลือดสูง มีภาวะโรคอ้วน ต้องให้แพทย์แนะนำ โดยสามารถกินได้สัปดาห์ละ 1 ฟอง หรือกินเฉพาะไข่ขาว ซึ่งไม่มีคอเลส เตอรอล แต่มีโปรตีน ส่วนเด็กอายุตั้งแต่ 1 ขวบ วัยเรียน ไปจนถึงวัยอุดมศึกษา สามารถ รับประทานไข่ ได้วันละ 1 ฟอง สัปดาห์ละ 7 ฟอง เพราะต้องใช้พลัง งานสูง โดยไข่จะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทั้ง ด้านร่างกายและ สติปัญญา

ถามว่ากินไข่อย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยหลักง่าย ๆ คือ 1.กินไข่ที่ปรุงสุกเท่านั้น 2.ควรกินไข่ไปพร้อม ๆ กับอาหารหลัก 5 หมู่ ไม่ควรกินไข่อย่างเดียว โดยเฉพาะการกินไข่ร่วมกับผักจะมีไฟเบอร์ช่วยดูดซับคอเลสเตอรอลในไข่ได้ส่วนหนึ่ง 3.ควรกินไข่ในหลากหลายรูปแบบ และหลากหลายเมนู คนที่มีภาวะไขมันในร่างกายสูง ควรหันมากินไข่ต้ม ไข่ตุ๋น แทนไข่เจียวหรือไข่ดาว 4.เมื่อกินไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันสูงในวันเดียวกัน เช่น กินไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงกินข้าวขาหมู ปลาหมึก กุ้ง 5.กินไข่แล้วออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะลดภาวะ เสี่ยงต่อคอเลสเตอรอลสูงได้.

ทำไมกินไอศกรีมแล้วปวดหัว


ยิ่งอากาศ ร้อนอย่างนี้ อาหารการกิน หรือเครื่องดื่มเย็นๆ มักเป็นที่สนใจขายดี เป็นเทน้ำเทท่า โดยเฉพาะไอศกรีมนี่ ยิ่งถูกใจกันนัก ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่

รสชาติของไอศกรีมที่ทั้งหวานทั้งเย็นนั้น

คุณๆ เคยนึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบางทีกินไอศกรีมแล้ว มันถึงได้ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาได้ทันที คำถามอันนี้ตอบได้ไม่ยากค่ะ ลองไปเสาะแสวงหาคำอธิบายจากท่านผู้รู้ได้ดังนี้ค่ะ

การที่เรากินไอศกรีมหรือเครื่องดื่มเย็นๆ

แล้วทำให้เรารู้สึกปวดหัวขึ้นมาได้นั้น เป็นเพราะว่า เจ้าอาหารหวานเย็นพวกนั้น ไปแตะที่เพดานปาก เลยทำให้ระบบประสาท มีปฏิกิริยาต่อความเย็น ทำให้หลอดเลือดในสมองบวมโตขึ้น อันนี้เลยเป็นสาเหตุทำให้ มักจะปวดหัวเวลากิน ของเย็นเจี๊ยบเข้าไป แต่ก็มักจะหายได้ในเวลาไม่กี่นาที เมื่อหลอดเลือดยุบตัวลง จะหลีกเลี่ยงอาการ "ปวดหัวหวานเย็น" ลงได้นั้น ผู้ รู้แนะนำไว้ว่า เวลาจะกินไอศกรีมหรือของหวานเย็น ต้องค่อยๆกิน ให้เวลาเพดานปากได้คุ้นเคยกับอุณหภูมิ ที่เปลี่ยนแปลงสักหน่อยเมื่อกัดกินของหวานเย็นลงไปแต่ละคำ.

ไม่รับประทานอาหารเช้า อันตราย!!!


อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่เกิดขึ้น อาจมีสาเหตุมาจากการไม่รับประทานอาหารเช้าก็ได้ อยากรู้อันตรายแค่ไหน วันนี้มีมาฝาก

การไม่รับประทานอาหารเช้า เป็นเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่เรามองข้ามไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แต่ทราบไหมว่า อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด เพราะร่างการต้องการสารอาหารในช่วงเวลา 07.00 - 09.00 น. เนื่องจากช่วงเวลานี้สมองของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจน เป็นอาหารบำรุง ถ้าไม่รับประทานอาหารเช้า ก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจนส่งขึ้นไปเลี้ยงสมอง

ถ้าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอหรือส่งไปได้น้อยแล้วล่ะก็ จะเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้

ผมร่วง หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย นอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่เต็มอิ่ม ตื่นกลางดึกบ่อย ๆ ฝันบ่อย ปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดเข่า ปวดศีรษะ ปวดหู ปวดกระบอกตา ปวดข้อเท้า กระดูกสะโพกจะเคลื่อนได้ง่าย เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น เป็นไซนัส หรือ วิตกกังวล โดยอาการเหล่านี้ อาจเกิดขึ้นทีละอย่าง หรือหลายอย่างพร้อมกันก็ได้ จนเป็นสาเหตุไปสู่อาการสมองเสื่อมต่อไปในอนาคต

กินช็อกโกแลตทำให้เป็นสิวไหม?

เนื่องจากมักมีการปรุงรสช็อกโกแลตให้หวานและมันด้วยน้ำตาล นม และผลิตภัณฑ์จากนม การกินช็อกโกแลตมาก ๆ จึงอาจทำให้สิวเห่อได้จริง ส่วนขนมเค้กที่มักมีรสหวานและมีส่วนผสมของน้ำตาล แป้ง นม และผลิตภัณฑ์จากนม ก็ทำให้สิวเห่อได้ นอกจากนั้น ยังต้องระวังว่าการกินอาหารหวาน ๆ และขนมหวานมากเกินไป ล้วนก่อให้เกิดโรคอ้วนซึ่งทำให้เกิดโรคผิวหนังจากความอ้วนตามมาหลายอย่าง

คนอ้วนอาจเป็นโรคสะเก็ดเงิน เห็นเป็นผื่นแดงนูนมีสะเก็ดสีเงิน มักเป็นตามข้อศอก หัวเข่า แนวไรผม

ผิวเป็นผื่นดำ ที่ต้นคอ รักแร้ และใต้ราวนม

มีติ่งเนื้อ พบบ่อยที่คอ รักแร้ การเกิดติ่งเนื้อนี้สัมพันธ์กับโรคเบาหวานและโรคอ้วน

โรคเชื้อราที่ซอกพับ (เช่น ขาหนีบ) ที่ชาวบ้านเรียกว่าสังคัง เห็นเป็นผื่นแดง คัน มีขุยและมีขอบนูน

ติดเชื้อยีสต์ (เช่น ที่ขาหนีบและใต้ราวนม) เห็นเป็นผื่นแดง มักมีจุดเล็ก ๆ กระจายอยู่รอบผื่น

ติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น ที่ขาหนีบ รักแร้) โดยเห็นเป็นผื่นแดง

บางโรคมีผลเสียในด้านความงามคือ ผิวแตกลาย มักพบที่ท้อง สะโพก ต้นแขนและต้นขา พบว่าคนอ้วนอาจมีขนดก ตุ่มขนคุดที่ตามต้นแขนต้นขา และคนอ้วนยังมีกลิ่นตัวได้บ่อย

ดื่มนมมาก ๆ ทำให้สิวเห่อจริงหรือไม่ ?


คำถามที่ว่าดื่มนมมาก ๆ ทำให้สิวเห่อเป็นที่ถกเถียงกันมานาน เมื่อไม่นานมานี้มีงานวิจัย 2 ฉบับที่ชี้ว่านมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเป็นสิว

ฉบับแรกทำการศึกษา แบบย้อนหลังในผู้หญิง 47,355 คน โดยให้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับอาหารและการเป็นสิวในวัยรุ่น และพบความสัมพันธ์ระหว่างนมต่อการเป็นสิวของวัยรุ่นหญิงกลุ่มนี้ จึงมีการศึกษาต่อมาในกลุ่มลูกชายวัยรุ่นของผู้หญิงกลุ่มที่ตอบแบบสอบถามนี้ ซึ่งการศึกษาครั้งหลังก็พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มนมและการเป็นสิว จริง

มีรายงานว่า นมมีส่วนเพิ่มระดับของ IGF-1 ดังนั้นบทบาทของ IGF-1 กรณีนี้จึงอาจเกี่ยวข้องกับสิว เช่นเดียวกับกรณีของอาหารที่ให้น้ำตาลสูง นอกจากนั้น ในน้ำนมวัวยังมีฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดสิวอุดตัน เช่น เอสโทรเจน โพรเจสเทอโรน และแอนโดรเจน รวมถึงสารไอโอดีนในน้ำนมก็ทำให้สิวกำเริบได้ การดื่มนมและกินผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย มาก ๆ จึงอาจกระตุ้นให้สิวเห่อได้

กินขนมหวาน ทำให้เป็นสิวได้หรือไม่?

รายงานว่าไม่พบสิวในคนบางกลุ่มซึ่งกินอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ จึงมีการตั้งทฤษฎีการได้รับน้ำตาลน้อยว่า เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลน้อยระดับอินซูลินในเลือดจะต่ำ และภาวะน้ำตาลน้อยยับยั้งการผลิตแอนโดรเจน

ส่วนอาหารที่มีน้ำตาลสูงทำให้มีอินซูลินในเลือดสูงขึ้น ซึ่งภาวะนี้นำไปสู่การมี insulin-like growth factor 1 (IGF-1) ในเลือดสูงขึ้น ซึ่งพบว่า IGF-1 ทำให้ผิวหนังแบ่งตัวเร็วและหนาตัวขึ้น จึงทำให้เกิดก้อนไขมันอุดตันในรูขุมขนและเกิดสิวตามมา นอกจากนั้น IGF-1 และอินซูลิน ยังกระตุ้นการผลิตแอนโดรเจน ที่ทราบกันดีว่าเป็นตัวเพิ่มการผลิตไขมัน

มีการศึกษาทำในผู้ชายอายุ 15-25 ปีที่เป็นสิวจำนวน 43 ราย แบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้กินอาหารตามปกติ กลุ่มที่ 2 ให้กินอาหารที่ให้น้ำตาลต่ำ เป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน 12 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ได้อาหารที่ให้น้ำตาลต่ำผู้ป่วยมีน้ำหนักลดลง และปริมาณสิวลดลงโดยการนับจำนวนสิวทั้งหมด ปัจจุบันจึงเชื่อว่าการกินขนมหวานที่มีน้ำตาลสูงน่าจะกระตุ้นให้สิวกำเริบ ได้จริง

เด็กๆ กดดันต่อการเลือกมหาวิทยาลัยมากขึ้น

จากการสำรวจพบว่า 69% ของนักศึกษาที่ต้องการสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐมีความเครียดในระดับสูงและสูงมาก ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2003 ถึง 13%

จากการสำรวจประจำปีของปริ้นส์ตัน โดยการสำรวจทั้งตัวนักศึกษาและผู้ปกครอง พบว่า 86% ระบุปัญหาด้านการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในขณะที่ 72% กล่าวว่า สภาวะเศรษฐกิจของรัฐส่งผลต่อการเลือกมหาวิทยาลัย

หากแต่เมื่อมองในด้านความเครียดในการสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนั้น ตัวเด็กๆ กลับมีมุมมองที่แตกต่างจากผู้ปกครองเล็กน้อย กล่าวคือ 66% ของเด็กคาดว่าค่าใช้จ่ายของพวกเขาน่าจะมากกว่า 75,000 ดอลล่าร์ ในขณะที่ผู้ปกครองราว 82% คาดว่าค่าใช้จ่ายจะเด็กๆ จะสูงกว่า 75,000 ดอลล่าร์ นอกจากนั้นเด็กๆ ราว 66% คาดว่ามหาวิทยาลัยของพวกเขาควรอยู่ห่างจากบ้านมากกว่า 250 ไมล์ ในขณะที่ 50% ของผู้ปกครองต้องการที่จะให้บุตรหลานของตนเรียนในมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน

นอกจากนั้นจากการสำรวจพบว่า มหาวิทยาลัยในฝันของเด็ก ๆ นั้นคือ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในขณะที่ผู้ปกครองชื่นชมในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ที่มา UPI.com

เด็ก ๆ จะทำการบ้านหากพวกเขาวางแผนจะเข้ามหาวิทยาลัย

เด็ก ๆ ที่คาดหวังไว้ในอนาคตว่าจะต้องเป็นครู หรือวิศวกร มักจะสนใจทำการบ้านมากกว่าเด็กที่คาดหวังว่าตนเองจะต้องเป็นนักกีฬา

เดฟนา โอเซอร์มาน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนได้ทำการศึกษาเด็กจำนวนทั้งสิ้น 266 คน ด้วยการถามเกี่ยวกับอาชีพที่พวกเขาอยากจะเป็นในอนาคต ผลปรากฏว่า เด็กเก้าในสิบคาดวังว่าตนเองจะต้องเรียนจบอย่าวน้อยที่สุดระดับอนุปริญญา อย่างไรก็ตามมีเพียงเด็ก ๆ ที่ต้องการทำงานที่ต้องใช้ความรู้เท่านั้นที่จะตั้งใจทำการบ้าน

จากการศึกษาเด็กในระดับชั้นมัธยมต้นในเมืองดิทรอยท์ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องระหว่างอาชีพที่พวกเขาอยากจะเป็นกับความใส่ใจในการทำการบ้านที่ได้รับมอบหมาย โดยกลุ่มเด็กที่ต้องการทำงานที่ต้องใช้ความรู้มากมักจะยินดีทำงานพิเศษที่ได้รับมอบหมายจากครูมากกว่าถึงแปดเท่า เมื่อเทียบกับเด็กที่ต้องการจะเป็นนักดนตรี นักแสดง หรือนักกีฬา

“แม้แต่ในกลุ่มเด็กที่เรียนด้วยกัน เด็กที่ต้องการเป็นครู พยาบาล วิศกร เมื่อพวกเขาโตขึ้นมักจะใช้เวลาเพื่อการทำการบ้านมากกว่าเด็กกลุ่มอื่น จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขามีคะแนนสอบที่ดีกว่าเด็ก ๆ ที่อยากจะเป็นนักกีฬา หรือในด้านวงการบันเทิง หรือในสายอาชีพอื่นๆ ที่การทำงานไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้มากนัก” นักวิจัยกล่าว

ที่มาUPI

การสอบช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ได้จริง

การศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคนท์ สเตท พบว่า การทดสอบช่วยพัฒนาการเรียนรู้ได้ โดยการใช้คำสำคัญในการจดจำ

การทดสอบโดยการเรียกความจำให้กลับคืนมา ทำให้พัฒนาการเรียนรู้ได้เพิ่มมากขึ้น นักวิจัยกล่าวว่า สมมติว่าเราต้องการที่จะเรียนรู้ภาษาสวาฮีลี โดยทั่วไปเราเพียงแต่ท่องจำ โดยการท่องคำศัพท์แต่ละคำหลาย ๆ ครั้ง แต่วิธีการนี้ไม่ได้ช่วยกระตุ้นความทรงจำและพัฒนาการเรียนรู้ภาษาให้ได้อย่างมีคุณภาพ

วิธีการที่จะทำให้เรียนรู้ได้อย่างเห็นผลคือการใช้การเทียบเคียงคำศัพท์ เมื่อเทียบเคียงคำศัพท์ภาษาสวาฮีลีเช่นคำว่า Wingu แปลว่า Cloud (เมฆ) สามารถให้การเทียบเทียบเคียงคำศัพท์ wing ที่ในภาษาอังกฤษแปลว่า ปีก โดยสัตว์ที่มีปีกคือนก และนกก็จะบินอยู่ในเมฆ ทำให้เราสามารถเทียบเคียงได้ว่า คำว่า “Wingu” แปลว่า “เมฆ”

นักวิจัยว่าการเรียนรู้ด้วยการใช้คำสำคัญเปรียบเทียบนี้ช่วยพัฒนาให้สามารถเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ทำการทดสอบได้ดีขึ้นมากกว่าการเรียนโดยทั่ว ๆ ไป

ที่มา: health24

ชาเขียว เมล็ดองุ่นป้องกันการปนเปื้อนของอาหาร

นักวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ชาเขียว, เมล็ดองุ่น และแบคทีริโอซิน เช่น ไนซิน อาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ผลิตอาหารในการป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคแทนการใช้สารเคมี

เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยอาร์คันซอได้ทดลองใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ชาเขียว, เมล็ดองุ่น และเครื่องเทศกับฮอทด็อกไก่ และฮอทด็อกไก่งวงเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคในอาหารเหล่านี้

ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากพืชสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อลิสทีเรีย โมโนไซโตจิเนสในฮอทด็อกได้ เมื่อนำเอาสารสกัดเหล่านั้นมารวมกับสารกันบูดที่ลดปริมาณลง เช่น ใช้สารกันบูด 75 เปอร์เซ็นต์และสารสกัดจากพืช 25 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังพบว่าสารสกัดที่ได้จากกระบวนการของนาโนเทคโนโลยีน่าจะมีประสิทธภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ดีกว่าสารสกัดที่ได้จากความร้อน

ในปัจจุบันกระบวนการถนอมอาหารมักจะใช้สารเคมีและความร้อนเพื่อลดความเสี่ยงในการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษจากเชื้อแบคทีเรียและอาหารที่เน่าเสีย แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้บริโภคกลับต้องการให้มีกระบวนการในการเก็บรักษาอาหารน้อยที่สุดและยังมีรสชาติคงเดิมโดยไม่ต้องปรุงแต่งเพิ่ม ดังนั้นสารสกัดจากธรรมชาติจึงน่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้โดยที่ไม่สูญเสียรสชาติหรือความปลอดภัยของอาหารไปกับกระบวนการในการถนอมอาหาร

ข่าวจาก: ZEENEWS.COM

ชาเขียว ป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้จริงหรือ ?

การศึกษาพบว่าชาเขียวอาจจะเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้

การวิจัยก่อนหน้านี้ทั้งจากเซลล์ของสัตว์และมนุษย์บ่งชี้ว่าเครื่องดื่มร้อนๆ อาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อต้านกับโรคมะเร็งได้ แต่มาโตกิ อิวาซากิแห่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้หญิงจำนวน 54,000 ราย เพื่อศึกษาว่าชาเขียวสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้จริงหรือไม่

การศึกษาครั้งนี้ นักวิจัยได้ทำการประเมินการดื่มชาของผู้หญิงโดยใช้แบบสอบถาม ครั้งแรกในช่วงเริ่มต้นการศึกษาและต่อจากนั้นในอีก 5 ปีต่อมา สำหรับอัตราการเกิดโรคมะเร็งประเมินจากการแจ้งของโรงพยาบาลหลักในท้องถิ่นของพื้นที่ที่ทำการศึกษาและจากจำนวนประชากรที่ลงทะเบียนว่าเป็นโรคมะเร็ง

ผลการศึกษาไม่พบความเกี่ยวข้องกันระหว่างการดื่มชาเขียวและความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเต้านม ดังนั้นนักวิจัยจึงสรุปว่าการดื่มชาเขียวมีโอกาสน้อยมากที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเต้านม โดยไม่ได้คำนึงถึงชนิดหรือจำนวนแก้วของชาเขียว

ข่าวจาก: ZEENEWS.COM

คลอเรสเตอรอล ตัวการทำลายสมอง

นักวิจัยชาวออสเตรเลียเตือนว่า อาหารที่มีไขมัน และคลอเรสเตอรอลสูง อาจมีบทบาทสำคัญในการทำลายสมอง ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่โรคสมองเสื่อม

นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการทดลองจิตเวชและสมองเสื่อมวิจัยในมหาวิทยาลัยการแพทย์ Innsbruck ประเทศออสเตรีย กล่าวว่า “มีการแสดงอาการของโรคสมองเสื่อมในหนูที่ได้รับอาหารที่มีไขมันและคอเรสเตอรอลสูง”

ดร.Christian Humpel และทีมวิจัย ได้ทำการทดลองหนูเพศผู้อายุ 6 เดือน โดยแบ่งหนูเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกทำการเลี้ยงด้วยอาหารปกติ ส่วนในกลุ่มที่สองเลี้ยงด้วยอาหารที่มีคลอเรสตอเรอลสูงหลังจากเลี้ยงได้ 5 เดือน พบว่าหนูในกลุ่มที่สองมีไขมันในเลือดสูง พวกเขาได้ทำการตรวจความผิดปกติทางพฤติกรรมและตัวบ่งชี้ทางพยาธิวิทยา พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับโรคสมองเสื่อมในคน

ดร.Christian Humpel กล่าวว่า “การศึกษาในครั้งนี้ พบข้อมูลที่สอดคล้องกับการศึกษาก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าไขมันและคอเลสเตอรอลสูงอาจมีส่วนร่วมในการพัฒนาของโรคสมองเสื่อม”

ข่าวจาก UPI

ชาเขียวป้องกันสมองเสื่อม

การดื่มชาเขียวเป็นประจำอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคสมองเสื่อมได้

เอ็ก โอเกลโล หัวหน้านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล พบว่าชาเขียวมีสารโพลีฟีนอลซึ่งอาจช่วยชะลอการตายของเซลล์ เนื่องจากมีสารประกอบที่มีพิษชนิดหนึ่ง

“ในชาเขียวนั้นมีสารเคมีบางอย่างที่เราทราบว่ามีประโยชน์ และเราสามารถบอกได้ว่าอาหารชนิดใดบ้างที่มีสารดังกล่าวอยู่มาก แต่เมื่ออาหารเหล่านั้นผ่านกระบวนการย่อยแล้วเราก็ไม่อาจบอกได้ว่าสารดังกล่าวยังจะเป็นประโยชน์อยู่หรือไม่” นักวิจัยกล่าว

จากการศึกษาพบว่า สารโพลีฟีนอลในชาเขียวจะแตกตัวในกระเพาะอาหารและปล่อยสารประกอบต่าง ๆ ออกมา สารประกอบใหม่นี้นอกจากจะสามารถป้องกันการเกิดโรคสมองเสื่อมแล้ว มันยังสามารถป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย โดยการชะลอการเกิดเซลล์มะเร็ง



ที่มา UPI.com

แอลกอฮอล์ ลดความเสี่ยงสมองเสื่อม

นักวิจัยในบอสตันกล่าวว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลางของผู้ที่มีอายุ 75 ปีขึ้นไป อาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมได้

นักวิจัยจากศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน ติดตามชาวเยอรมันผู้ที่มีอายุ 75 ปีขึ้นไป จำนวน 3,2002 คน ผู้ซึ่งเข้าพบแพทย์เป็นประจำและพบว่าไม่ได้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมตลอด 1 ปีครึ่ง และจากการติดตามต่ออีก 3 ปี นักวิจัยได้ประเมินข้อมูลเกี่ยวกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนถึงปัจจุบันร่วมกับการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม

พบว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมได้ร้อยละ 30 และลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ได้ร้อยละ 40 เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่ม ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาก่อนหน้าที่พบว่าผู้สูงอายุที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลางจะส่งผลให้มีความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมน้อยลง

ข่าวจาก: UIP

เบียร์วันละ 2 แก้ว ให้คุณมากกว่าโทษ

การศึกษาวิจัยจากสเปนบ่งว่า การดื่มเบียร์พอประมาณดีต่อสุขภาพ ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงได้ ทั้งยังสามารถช่วยลดน้ำหนักได้

อาการอ้วนลงพุงของชาวอังกฤษถูกต่อว่าต่อขานว่ามาจากการดื่มเบียร์มากเกินไป แต่ ดร.รามอน เอสทรัช และดร.โรซา ลามุยลา(Dr Ramon Estruch and Dr Rosa Lamuela) ได้ทำการวิจัยชายและหญิงจำนวน 1,249 คน อายุมากกว่า 57 ปีขึ้นไปเกี่ยวกับการดื่มเบียร์ การรับประทานอาหารเมติเตอร์เรเนียนและระบบไหลเวียนโลหิต พบว่าผู้ที่ดื่มเบียร์วันละประมาณครึ่งลิตร ประกอบกับรับประทานอาหารเมดิเตอร์เรเนียนนั้นไม่ทำให้อ้วน ในทางกลับกันกลับทำให้น้ำหนักลดลง โดยเบียร์นั้นหากดื่มในปริมาณที่พอดีจะเป็นผลดีต่อสุขภาพเช่นเดียวกับการดื่มไวน์

เบียร์นั้นประกอบด้วยกรดโฟลิก วิตามิน เหล็ก และแคลเซียม ซึ่งดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต นอกจากนี้ผู้ที่ดื่มในปริมาณที่เหมาะสมยังสามารถช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และสามารถลดปริมาณไขมันในเส้นเลือดได้ เบียร์ประมาณครึ่งลิตรให้พลังงาน 200 แคลอรี่ ซึ่งเท่ากับกาแฟลาเต้ใส่นม

ที่สำคัญการดื่มเบียร์ แต่ไม่ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพในแบบของชาวสเปน เช่น มันฝรั่งทอด หรือไส้กรอก จะไม่ช่วยให้เกิดผลดีดังที่กล่าวข้างต้น การมีพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพหลายอย่างรวมกัน ย่อมทำให้เกิดความอ้วนได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำว่า ผู้หญิงควรดื่มเบียร์วันละประมาณ 2 แก้วเล็ก และ 3 แก้วสำหรับผู้ชาย ประกอบกับรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และออกกำลังกาย

ข่าวจาก: MailOnline

ดื่มก่อนสอบไม่ส่งผลอะไร

นักเรียนที่ต้องสอบในตอนเช้าและผ่านการดื่มมาในคืนก่อนสอบ มีผลการสอบไม่แตกต่างจากนักเรียนที่ไม่ดื่ม จากการรายงานของ Telegraph

ทั้ง ๆ ที่แอลกอฮอล์สามารถส่งผลถึงอารมณ์ สมาธิ แต่การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในเย็นก่อนสอบก็ไม่ส่งผลใด ๆ ต่อคะแนนของเด็ก

การศึกษาวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าเด็กที่ดื่มมาอย่างหนักก่อนสอบทักจะทำคะแนนได้ไม่ค่อยดี เมื่อเทียบกับนักศึกษาที่ดื่มอย่างพอประมาณ ดังนั้นการศึกษาวิจัยนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนในเรื่องของบรรยากาศที่เหมาะสมในการทำข้อสอบ

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตันทำการทดสอบนักศึกษาจำนวน 193 คนอายุระหว่าง 21 – 24 ปี เป็นระยะเวลา 4 วัน โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ดื่มเบียร์ก่อนสอบหนึ่งคืน และกลุ่มที่ดื่มเบียร์ก่อนสอบสองคืน และกลุ่มที่ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ก่อนทำข้อสอบภาคเช้าและบ่าย

ผลการทดสอบพบว่า คะนนของนักศึกษาไม่แตกต่างกันทุกกลุ่ม ทั้งยังมีคะแนนอยู่ในระดับสูง ทั้ง ๆ ที่ข้อสอบค่อนข้างยาก

อย่างไรก็ตามการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์นั้นมีผลกระทบต่อการสอบได้เช่นกัน ในกรณีที่เป็นลักษณะข้อสอบที่เกี่ยวกับการเขียนอธิบาย การแก้ปัญหา หรือการใช้ทักษะทางความจำ

อาชีพไหนหย่าร้างสูงที่สุด?

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแรดฟอร์ด ได้ทำการศึกษาโดยละเอียดเกี่ยวกับอาชีพที่มีอัตราการหย่าร้างสูงที่สุด จากสำมะโนประชากรของสหรัฐจำนวน 2000 คน

พบว่า อาชีพนักเต้น และอาชีพหมอนวดมักจะต้องมีปฏิสัมพันธืทางกายกับผู้อื่นมากกว่าคู่สมรสของตน ซึ่งอาจจะนำไปสู่การหย่าร้างได้

ห้าอาขีพที่มีอัตราการหย่าร้างสูงสุดมีดังต่อไปนี้

1. นักเต้น และนักออกแบบท่าเต้น (43.05%)
2. บาร์เทนเดอร์ (38.45%)
3. หมอนวด (38.22%)
4. คนคุมร้านเกมส์ (34.66%)
5. พนักงานคอลเซนเตอร์ (32.74%)

สำหรับกลุ่มที่มีอัตราการหย่าร้างต่ำที่สุดกลับเป็นกลุ่มผู้ที่ประกอบอาชีพด้านสื่อสารมวลชนและโทรคมนาคม (0%) และอาชีพนักวิศวกรรมการเกษตร (1.78%)

ที่มา time.com

รู้หรือไม่ เพราะอะไรจึงเป็นโรคเล็บขบ ?

โรคเล็บขบ เป็นชื่อที่ใช้เรียกเมื่อเล็บเท้างอกและดันลึกเข้าไปในผิวหนัง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดขึ้นกับนิ้วหัวแม่เท้า แต่ใช่ว่านิ้วอื่นจะไม่สามารถเกิดเล็บขบได้ เพราะในความเป็นจริงแล้วนิ้วเท้าทุกนิ้วสามารถเกิดเล็บขบได้ทั้งสิ้น

เมื่อเร็วๆ นี้เว็บไซต์ MedlinePlus ได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเล็บขบได้ดังต่อไปนี้

■สวมรองเท้าที่คับหรือหลวมเกินไป
■ตัดเล็บเท้าสั้นเกินไป
■ตัดตกแต่งเล็บเท้าให้มีลักษณะโค้งมน
■มีเล็บเท้าหนามากหรือมีปัญหาในการตัดตกแต่งเล็บเท้า
■นิยมฉีกเล็บเท้าแทนการตัดตกแต่งอย่างถูกต้องเหมาะสม
■เล็บเท้ามีขนาดใหญ่มากหรือเล็บเท้ามีลักษณะโค้งตามธรรมชาติ
■นิ้วเท้าได้รับบาดเจ็บ เช่น สะดุดตอไม้หรือก้อนหิน
สาเหตุของการเกิดปัญหาเล็บขบนั้นส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการดูแลเท้าและเล็บที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งสาเหตุเหล่านี้สามารถป้องกันได้ เพราะฉะนั้นหากไม่อยากทุกข์ทรมานด้วยอาการของโรคเล็บขบก็ควรเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองให้ห่างไกลจากต้นเหตุของโรคเล็บขบ เพียงเท่านี้ก็น่าจะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเล็บขบได้

เล็บขบ...ป้องได้ ง่ายนิดเดียว

การตัดเล็บเท้าสั้นเกินไป อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดและโรคเล็บขบได้

เมื่อเร็วๆ นี้ The American Academy of Orthopaedic Surgeons กล่าวว่าโรคเล็บขบ เป็นสภาวะที่เล็บเข้าไปอยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งมีต้นเหตุมาจากการไม่ตัดเล็บในแนวเส้นตรงและพยายามตัดให้เป็นมุมโค้งเพื่อความสวยงาม แม้ว่าโรคเล็บขบจะนำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน แต่ก็เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้เช่นกัน เพียงแค่ปฏิบัติตามแนวทางที่ The American Academy of Orthopaedic Surgeons ได้แนะนำไว้ ดังต่อไปนี้

■หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า หรือสวมรองเท้าโดยปราศจากถุงเท้า
■ตรวจสอบว่ารองเท้าที่สวมคับเกินไปหรือไม่ และรองเท้าที่เหมาะคือรองเท้าที่มีพื้นที่เหลือให้นิ้วเท้าสามารถขยับได้อย่างอิสระ
■เมื่อต้องตัดเล็บควรใช้ที่ตัดเล็บที่คม และสะอาด โดยต้องตัดเล็บให้เป็นแนวตรง ไม่ควรตัดโค้งหรือเข้ามุม
■ไม่ควรตัดเล็บให้สั้นจนชิดเนื้อมากเกินไป
■ดูแลให้เท้าแห้งและสะอาด
ข่าวจาก: Drugs.com

ห้องเรียนไม่ดี เด็ก ๆ ก็แย่

เด็ก ๆ มักจะมีปัญหาทางด้านสุขภาพจิต เมื่อต้องเรียนในห้องเรียนที่ไม่มีสื่อการเรียนการสอนมากนัก หรือต้องเรียนกับคุณครูที่สอนด้วยอารมณ์ไม่ใช่ด้วยจิตวิญญาณ

“นักวิจัยหลาย ๆ ฝ่ายรวมทั้งนักสังคมวิทยามักใช้เวลาศึกษาเพื่อศึกษา ความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อมกับปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มคนวัยทำงาน แต่พวกเขาไม่ค่อยให้ความสนใจกับความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของเด็ก ๆ กับสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนหรือห้องเรียนมากเท่าใดนัก” Melissa A. Milkie นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์กล่าว

ด้วยเหตุนี้นักวิจัยจึงได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างห้องเรียนกับสุขภาพจิตของเด็ก อาทิ ความสนใจในห้องเรียน พฤติกรรมภายในห้อง เช่น การชกต่อย ความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อน รวมทั้งการแก้ปัญหาของตนเอง เช่น ความวิตกกังวลและความทุกข์ใจ

นักวิจัยพบว่า เด็ก ๆ ในห้องเรียนที่ไม่เหมาะสม คือ ไม่มีสื่อการเรียนการสอนอื่น ๆ นอกจาก กระดาษ และดินสอ บรรยากาศภายในห้องร้อน การจัดโต๊ะเรียนไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีเครื่องดนตรี และไม่มีอุปกรณ์ส่งเสริมจินตนาการ อาทิ สื่อการวาดรูป หรือต้องเรียนกัยครูที่มักจะคิดว่าเด็ก ๆ ไม่เคารพตน เด็กเหล่านี้มักจะมีสุขภาพจิตที่แย่

“หากคุณครูมีความรู้สึกเครียดเพราะไม่สามารถบอกให้เด็ก ๆ ทำตามได้ ความเครียดดังกล่าวจะส่งผลต่อเด็กด้วยเช่นกัน” นักวิจัยกล่าว

ที่มา UPI.com

อายุสัมพันธ์อย่างไรกับการบาดเจ็บ

นักวิจัยจากสหรัฐอเมริกากล่าวว่า ในระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา อัตราการได้รับบาดเจ็บของเด็กมีเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 หรือคิดเป็น 16,000 คนต่อปี

จากการตรวจการณ์ของศูนย์วิจัยการบาดเจ็บของสถาบันวิจัยโรงพยาบาลเด็กทั่วประเทศในโคลัมบัส โอไฮโอ พบว่าในช่วงระหว่างปี 1994-2007 มีเด็กประมาณ 225,344 รายที่เข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังพบว่าอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอาการเคล็ดขัดยอก ซึ่งจำนวน 1 ใน 3 ของการได้รับบาดเจ็บเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงและเกินกว่าครึ่งหนึ่งเกิดจากอุบัติเหตุที่ขึ้นในโรงเรียน

นักวิจัยกล่าวว่าเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี มีแนวโน้มที่จะได้รับบาดเจ็บจากการหกล้มขณะอยู่ที่โรงเรียน ส่วนวัยรุ่นที่มีอายุ 15 ขึ้นไปมักได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน สถานกีฬาหรือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ

ผลงานวิจัยในครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของอายุและการได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจะทำให้ผู้ปกครองและครูสามารถสอนเด็กให้รอดพ้นจากการได้รับบาดเจ็บได้ การออกกำลังกายนับเป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้เด็กๆ แข็งแรง เมื่อได้รับบาดเจ็บจะได้ไม่มีอาการรุนแรงนัก

ข่าวจาก: UIP

เจ็บมากเจ็บน้อย ขึ้นอยู่กับพื้นที่อาศัย

ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีรายได้ต่ำ จะมีอัตราการได้รับบาดเจ็บมากว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีรายได้สูงถึง 20 ครั้ง

ผลงานวิจัยพบว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีรายได้ต่ำจะได้รับบาดเจ็บจากรถชน หกล้ม และโดนทำร้ายร่างกายมากกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีรายได้สูง 6 เท่า

ดร.เบน เอล ซาร์ซัวร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเทนเทสซี ทำการศึกษาผู้ป่วยจำนวน 17,658 คนที่มีอายุระหว่าง 18-84 ปี ที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลหลังได้รับบาดเจ็บในช่วงระหว่างเดือนมกราคม 1996 ถึงเดือนธันวาคม 2005 ซึ่งอัตราผู้ที่ได้รับบาดเจ็บได้รับการคำนวณจากสภาพเศรษฐกิจในเมืองเชลบีจากปี 1996-2005

พบว่าอัตราการได้รับบาดเจ็บจะมีสูงขึ้น 6 เท่าในผู้ที่อาศัยอยู่ในละแวกที่มีสถานะทางเศรษฐกิจต่ำ ซึ่งอาจเป็นข้อสรุปได้ว่าอัตราการบาดเจ็บนั้นมีมีความเชื่อโยงกับพื้นที่ที่ผู้คนเหล่านั้นอาศัยอยู่

ข่าวจากUIP

อ้วน ไม่ใช่เพราะกินมากเกินไป

การศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโกและวิสคอนซิล- มาดิสัน พบว่า ความอ้วนไม่ได้เกิดจากการรับประทานอาหารมากเกินไปเท่านั้น แต่สาเหตุหลักของความอ้วนเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
การทดลองให้แบ่งกลุ่มตัวอย่าง 10 คนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน โดยให้กลุ่มหนึ่งนอนหลับวันละ 5.5 ชั่วโมง และอีกกลุ่มหนึ่งนอนหลับวันละ 8.5 ชั่วโมง โดยทั้งสองมีพฤติกรรมการกินและกิจกรรมในแต่ละวันเหมือนกันพบว่า กลุ่มที่มีชั่วโมงการนอนหลับมากกว่ามีปริมาณไขมันและกล้ามเนื้อลดลงมากกว่ากลุ่มที่นอนหลับน้อยกว่า

ดังนั้นแม้ว่าเราจะมีความตั้งใจดี พยายามรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่หากพักผ่อนไม่เพียงพอก็สามารถทำให้อ้วนได้ ปัจจุบันเรามีชั่วโมงทำงานยาวนานในแต่ละวัน และพยายามที่จะเพิ่มชั่วโมงการทำงานให้มากขึ้น ๆ โดยคำนึงถึงสุขภาพค่อนข้างน้อย

การหยุดทำงานหนึ่งชั่วโมง และเปลี่ยนไปเพิ่มชั่วโมงการนอนสามารถช่วยให้สุขภาพของคุณดีขึ้นได้

ข่าวจาก: treehugger

อารมณ์เสีย เพราะนอนน้อย

หากพบว่าเด็กๆ มีอาการง่วงนอนในช่วงกลางวัน อย่าโทษว่าเป็นเพราะฮอร์โมนหรือความเพราะความเป็นเด็ก จากงานวิจัยล่าสุดผู้เชี่ยวชาญพบว่า จำนวนของวัยรุ่นที่มักมีอารมณ์แปรปรวนและมีพฤติกรรมการติดต่อสื่อสารที่ผิดปกติเป็นประเด็นที่กำลังน่าเป็นห่วง ซึ่งสาเหตุเกิดมาจากการที่วัยรุ่นเหล่านั้นได้รับการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว เด็กเหล่านี้ควรได้รับความรู้เกี่ยวกับรูปแบบการนอนหลับพักผ่อนที่ส่งผลดีต่างร่างกาย

ควรสอนให้เห็นถึงความสำคัญของการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอคือ 9 ชั่วโมงในเวลากลางคืนและหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะส่งผลให้นอนไม่หลับเช่นการโทรศัพท์การเล่นเกมเป็นเวลานานในช่วงเวลากลางคืน

นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรชี้ให้เห็นโทษของการพักผ่อนไม่เพียงพอซึ่งได้แก่ความเสี่ยงในการมีน้ำหนักตัวมากเกินไป เป็นโรคซึมเศร้า สมาธิสั้นเป็นต้น

ข่าวจาก: MailOnline

สัญญาณเตือนว่าควรได้รับการพักผ่อน

ชีวิตไม่ได้มีเพียงแค่การทำงานเท่านั้น ครอบครัว เพื่อน และอื่น ๆ ก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตเช่นกัน สัญญาณต่อไปนี้คือสิ่งที่แสดงว่าคุณควรหาเวลาพักผ่อนจากการทำงานบ้างได้แล้ว

■ทุก ๆ ครั้งที่นั่งมองลูก รู้สึกว่าพวกเขาโตขึ้นไปมาก
■เป็นระยะเวลาสามสัปดาห์พอดีที่ได้กินอาหารอย่างอื่นนอกจากอาหารในโรงอาหารของที่ทำงาน
■กลับบ้านช้าเป็นประจำ
■ปฏิเสธเมื่อเพื่อนชวนไปซื้อของด้วยกันในวันอาทิตย์ ด้วยเหตุผลที่ว่าคุณอยู่ที่ทำงาน
■ได้รับส.ค.ส.มากมายในวันปีใหม่ แต่ไม่มีเวลาที่จะเปิดอ่านสักแม้สักครั้ง
■คุณและเพื่อนที่ทำงานสื่อสารกันด้วยกระดาษโน้ตที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว
■ใจครุ่นคิดถึงเรื่องที่ต้องเข้าประชุมในวันรุ่งขึ้น ในขณะที่อยู่บ้าน
■นั่งทำงานและกลับบ้านเป็นคนสุดท้าย
■นึกขึ้นได้แล้วว่าเริ่มใช้เวลากับเพื่อนร่วมงานมากกว่าสามีหรือภรรยาของคุณ
■หากภรรยาของคุณบอกว่าเธอท้อง และคุณเริ่มไม่แน่ใจว่าคุณคือพ่อของเด็ก
■รู้สึกไม่มั่นใจเมื่อไม่ได้ใส่ชุดฟอร์มของบริษัท
■สุนัขที่บ้านเริ่มเห่าเมื่อคุณกลับถึงบ้าน
■ลูกน้อยเริ่มที่จะเรียกชื่อ “ฟีโด้” แทน “พ่อ”
■ไม่เคยให้เบอร์โทรศัพท์บ้านกับใครเพราะมีโอกาสน้อยที่เขาจะต้องโทรไปที่นั่น
■คุณคือชื่อแรก ๆ ที่ร้านพิซซ่าต้องมาส่งเป็นประจำ
■วิธีแก้ปัญหาเมื่องานไม่เสร็จ คือการปูเสื่อนอนที่ทำงาน
ข่าวจาก: health24

ลูกจันทน์เทศ : Roudoukou (肉豆蔻)


ชื่อภาษาไทย
ลูกจันทน์เทศ (ภาคกลาง); ลูกจันทน์บ้าน (ภาคเหนือ) [2]

ชื่อจีน
โร่วโต้วโค่ว (จีนกลาง), เหน็กเต่าโข่ว (จีนแต้จิ๋ว) [1]

ชื่อภาษาอังกฤษ
Nutmeg [1]

ชื่อเครื่องยา
Semen Myristicae [1]

การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังเก็บเกี่ยว
เก็บเกี่ยวผลแก่จัดในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แยกเอาเปลือกผลและเปลือกหุ้มเมล็ดเทียมทิ้ง กะเทาะเอาเปลือกแข็งที่หุ้มเมล็ดออก เอาเฉพาะเนื้อในเมล็ดมาแช่น้ำปูนใสทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วนำมาปิ้งโดยใช้ระดับไฟปานกลาง ปิ้งจนแห้ง เก็บรักษาไว้ในที่มีอากาศเย็นและแห้ง มีการระบายอากาศดี [3]

การเตรียมตัวยาพร้อมใช้
การเตรียมตัวยาพร้อมใช้มี 4 วิธี ดังนี้
วิธีที่ 1 ลูกจันทน์เทศ เตรียมโดยนำวัตถุดิบสมุนไพรที่ปราศจากสิ่งปนปลอม มาล้างน้ำให้สะอาด ตากแดดให้แห้ง ทุบให้แตกก่อนใช้ [4]
วิธีที่ 2 ลูกจันทน์เทศคั่วรำข้าวสาลี เตรียมโดยนำรำข้าวสาลีและตัวยาที่ได้จากวิธีที่ 1 ใส่ลงในกระทะ นำไปผัดโดยใช้ไฟระดับปานกลาง พร้อมคนอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งรำข้าวสาลีเป็นสีเหลืองเกรียม และตัวยามีสีน้ำตาลเข้ม นำออกจากเตา แล้วร่อนเอารำข้าวสาลีออก ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ทุบให้แตกก่อนใช้ (ใช้รำข้าวสาลี 40 กิโลกรัม ต่อตัวยา 100 กิโลกรัม) [3]
วิธีที่ 3 ลูกจันทน์เทศคั่วผงหินลื่น เตรียมโดยนำผงหินลื่นใส่ในภาชนะที่เหมาะสม แล้วให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูง ใส่ตัวยาที่ได้จากวิธีที่ 1 ลงไป คนอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งผิวด้านนอกของตัวยามีสีน้ำตาลเข้มและมีกลิ่นหอมกรุ่น นำออกจากเตา แล้วร่อนเอาผงหินลื่นออก ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ทุบให้แตกก่อนใช้ (ใช้ผงหินลื่น 50 กิโลกรัม ต่อตัวยา 100 กิโลกรัม) [3]
วิธีที่ 4 ลูกจันทน์เทศห่อแป้งหมี่คั่ว เตรียมโดยนำแป้งหมี่ผสมน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ปั้นให้เป็นแผ่น แล้วนำมาอัดให้เป็นแผ่นบาง ๆ จากนั้นนำแผ่นแป้งหมี่ที่เตรียมได้มาห่อตัวยาที่ได้จากวิธีที่ 1พรมน้ำที่ผิวด้านนอกเพื่อให้ชุ่มชื้น แล้วนำไปห่อกับแผ่นแป้งหมี่อีก ห่อประมาณ 3-4 ชั้น ให้ทำเช่นเดียวกัน นำไปตากแดดให้แห้งประมาณ 50% จากนั้นนำไปใส่ลงในภาชนะที่บรรจุผงหินลื่นที่ผัดให้ร้อนแล้ว คนอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งผิวด้านนอกมีสีเหลืองเกรียม นำออกจากเตา แล้วร่อนเอาผงหินลื่นออก ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ให้เอาแผ่นแป้งหมี่ที่ห่อไว้ทิ้ง เอาเฉพาะตัวยา ทุบให้แตกก่อนใช้ (ใช้แป้งหมี่ 50 กิโลกรัม ต่อตัวยา 100 กิโลกรัม) [3]

คุณภาพของตัวยาจากลักษณะภายนอก
ตัวยาที่มีคุณภาพดี เนื้อในเมล็ดต้องมีคุณสมบัติแข็งและเหนียว มีลายเส้นคล้ายเนื้อในเมล็ดหมาก มีน้ำมันมาก และมีกลิ่นหอม [5]

สรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนจีน
ลูกจันทน์เทศ รสเผ็ด อุ่น มีฤทธิ์สมานลำไส้ ระงับถ่ายท้องร่วง แก้ท้องร่วงเรื้อรัง (เนื่องจากม้ามและไตพร่องและเย็นเกินไป) และมีฤทธิ์ให้ความอบอุ่นแก่กระเพาะอาหาร ทำให้ชี่หมุนเวียนดี แก้ปวดกระเพาะอาหาร เบื่ออาหาร อาเจียน จุกเสียดแน่นท้อง [1]
ลูกจันทน์เทศมีน้ำมันในปริมาณสูง ทำให้มีข้อเสียคือ มีฤทธิ์หล่อลื่นและกระตุ้นลำไส้มากเกินไป โดยทั่วไปจึงต้องนำมาแปรรูปโดยใช้วิธีเฉพาะก่อนใช้ การคั่วจะขจัดน้ำมันบางส่วนออกไป ทำให้ฤทธิ์หล่อลื่นและกระตุ้นลำไส้ลดน้อยลง แต่มีฤทธิ์แรงขึ้นในการช่วยให้ลำไส้แข็งแรงและระงับอาการท้องเสีย เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้อง จุกเสียดแน่นท้อง ท้องร่วง อาเจียน อาหารไม่ย่อย [3]

สรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนไทย
ลูกจันทน์เทศ มีกลิ่นหอม รสเปรี้ยวฝาด ร้อน มีสรรพคุณบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ ขับลม แก้จุกเสียด แก้กำเดา แก้ท้องร่วง แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ปวดมดลูก บำรุงเลือด [6-8]

ขนาดยา
การแพทย์แผนจีน ใช้ขนาด 3-9 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม หรือใช้ภายนอกโดยบดเป็นผงผสมกับน้ำมันหรือน้ำส้มสายชูผสมทา [1]
การแพทย์แผนไทย ใช้เนื้อในเมล็ด 0.5 กรัม หรือประมาณ 1-2 เมล็ด บดให้เป็นผงละเอียด ชงน้ำครั้งเดียว รับประทานวันละ 2 ครั้ง 2-3 วัน [6, 9]

ข้อควรระวัง
ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการร้อนแกร่ง บิดท้องร่วงเพราะมีความร้อน (การแพทย์แผนจีน) [1]
ห้ามใช้ลูกจันทน์เทศในปริมาณสูง เพราะทำให้เกิดอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ (การแพทย์แผนไทย) [6]
มีรายงานว่าเมื่อรับประทานลูกจันทน์เทศขนาดน้อยกว่า 1 ช้อนโต๊ะ ก็ทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ อาการข้างเคียงในขนาดสูง ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปากแห้ง หัวใจเต้นเร็ว กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ม่านตาขยาย นอนไม่หลับ มึนงง สับสน เกิดอาการประสาทหลอน และอาจทำให้ชักได้ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น allergic contact dermatitis และ occupational asthma [6]

ข้อมูลวิชาการที่เกี่ยวข้อง
1.สารสกัด Nutmeg oil จากลูกจันทน์เทศสามารถยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือดได้ โดยมี eugenol และ isoeugenol เป็นสารออกฤทธิ์ [6]
2.สารสกัดแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ น้ำมันลูกจันทน์เทศสามารถยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือดได้ สารสกัดของเปลือกเมล็ดแสดงฤทธิ์ต้านอักเสบในสัตว์ทดลอง [10]
3.ลูกจันทน์เทศมีสรรพคุณแก้ท้องเสียชนิดเรื้อรัง แก้ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย อาเจียน มีรายงานว่าเมื่อรับประทานผงลูกจันทน์ขนาด 7.5 กรัม อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปากแห้ง นอนไม่หลับ หากรับประทานในขนาดสูงมากอาจทำให้ตายได้ [10]
4.เมื่อให้สารสกัดอีเทอร์ทางปากแมว พบว่าขนาดของสารสกัดที่ทำให้แมวตายมีค่าเท่ากับ 0.5-1 มิลลิลิตร/กิโลกรัม และเมื่อให้ผงยาทางปากแมวในขนาด 1.8 กรัม/กิโลกรัม อาจทำให้เกิดอาการประสาทหลอน และถึงตายได้ภายใน 24 ชั่วโมง [10]
5.จากการศึกษาพิษเฉียบพลันในหนูถีบจักรของสารสกัด 50% แอลกอฮอล์จากลูกจันทน์เทศพบว่าค่า LD50 มีค่ามากกว่า 10 กรัม/กิโลกรัม เมื่อให้โดยการป้อนหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนัง

กิจกรรมควรเลี่ยง เพื่อการนอนหลับที่ดี

ผลงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมของเด็กๆ ได้แก่ การเล่นเกมวิดิโอ การเล่นอินเตอร์เน็ต และการส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ปัญหาการพัฒนาทางการเรียนรู้ที่ล่าช้า เกิดความวิตกกังวล เกิดภาวะซึมเศร้าได้

การวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาเกี่ยวกับนิสัยการนอนที่ผิดปกติของเด็ก ดำเนินการโดยศูนย์การแพทย์ในเอดิสัน นิวเจอร์ซีย์ พบว่าเด็ก ๆ ที่มักใช้เวลาในการใช้โทรศัพท์มือถือ ใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดความผิดปกติด้านการนอนหลับและปัญหาอื่นๆ ตามมา

ดร.ปีเตอร์ จี โปโลส์ ผู้นำงานวิจัยกล่าวว่า กิจกรรมเหล่านี้จะไม่ส่งเสริมการนอนหลับเหมือนการอ่านนวนิยายหรือการฟังเพลง เนื่องจากจะส่งผลให้สมองของพวกเขาได้รับการกระตุ้นให้ได้รับปัญหาด้านการนอนหลับ

การศึกษาครั้งนี้สำรวจจากผู้ชายและผู้หญิงจำวน 40 คน ที่มีอายุเฉลี่ย 14 ปี นักวิจัยมุ่งเน้นศึกษาเกี่ยวกับกิจกรรมของพวกเขาหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในห้องนอนในแต่ละคืน


ข่าวจาก: health24

นอนหลับช่วยให้จดจำดี

มนุษย์ใช้เวลาหนึ่งในสามไปกับการนอน และนักวิทยาศาสตร์พบว่าการนอนช่วยให้ความจำดีขึ้น ช่วยจัดระเบียบความทรงจำ สามารถทำความเข้าใจลึกซึ้งในรายละเอียดของอารมร์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยขน์ต่อความคิดสร้างสรรค์

นักวิจัยได้ทำการทดสอบเกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์ขณะหลับ พบว่ามนุษย์เกาะติดอยู่เรื่องของอารมณ์ที่อยู่ในส่วนของความทรงจำอย่างมาก เช่น หากมนุษย์ได้รับความทรงจำเกี่ยวกับรถที่เสียหาย การนอนหลับจะช่วยให้สามารถจดจำอารมณ์ของความทรงจำได้มากกว่ารายละเอียดอื่น ๆ เช่น ต้นปาล์มที่อยู่ข้างหลังรถ เป็นต้น

การทดลองนี้ทำให้หมดคลายความเข้าใจผิดที่ว่า การนอนหลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย และไม่เพียงแต่เป็นการรวบรวมความทรงจำ แต่ยังเป็นการจัดระเบียบความทรงจำให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่วยเรื่องของงานสร้างสรรค์ต่าง ๆ

นักวิจัยกล่าวว่า “ผู้คนที่กล่าวว่าเขาจะนอนหลับยาวเมื่อเขาตอนนั้น เป็นการกระทำที่ลดความสามารถของตนเอง โดยผมจะเป็นคนหนึ่งที่นอนหลับวันละ 8 ชั่วโมง แน่นอนว่าเราสามารถนอนหลับเพียงเล็กน้อยต่อวัน แต่นั่นเป็นการทำลายความสามารถในการจดจำของเราเอง”



ข่าวจาก: ScienceDaily

ไม่อยากอารมณ์เสีย อย่านอนเปิดไฟ

นักวิทยาศาสตร์ออกมาเตือนว่า การนอนหลับท่ามกลางแสงสว่างในช่วงกลางคืนอาจทำให้คุณมีอารมณ์หงุดหงิดได้เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป และแม้ว่าจะเป็นแสงสลัว ก็อาจส่งผลต่อโครงสร้างของสมอง เพิ่มความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าได้

แสงจะรบกวนวงจรธรรมชาติของการนอนหลับและการตื่น และยังเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงที่คนงานที่ทำงานในช่วงเวลากลางคืนจะมีความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งเต้านมที่สูงขึ้น และในเดือนที่ผ่านมามีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นแล้วว่าแสงในช่วงเวลากลางคืนมีผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มสูงขึ้น

งานวิจัยล่าสุดที่นำเสนอในงานประชุมอเมริกัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอ ศึกษาผลกระทบเกี่ยวกับแสงไฟสลัวที่หนูได้รับเป็นเวลา 8 ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พวกมันมักจะนอนหลับ พบว่าแม้จะเป็นแสงไฟที่ไม่สว่างจ้า แต่ยังสามารถเกิดผลกระทบต่อพฤติกรรมของสัตว์ได้

ปัจจุบันพบว่าการนอนหลับที่ปราศจากแสงไฟอย่างสิ้นเชิงเป็นไปได้ยาก ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการค้นพบครั้งนี้พบว่าการนอนท่ามกลางแสงไฟอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพร่างกาย

ข่าวจาก: MailOnline

ไร้พลัง...แต่ไม่ไร้วิธีแก้

ความอ่อนล้า อ่อนแรง เป็นคำที่ใช้อธิบายความรู้สึกของการไร้พลังหรือแรงจูงใจในชีวิต

หลากหลายสาเหตุของความรู้สึกดังกล่าวซึ่งสามารถเกิดได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น การออกแรงมากเกินไป ,ความเครียด ,ความเบื่อหน่าย และการพักผ่อนไม่เพียงพอ แม้ว่าความรู้สึกอ่อนแรงไร้พลังจะเกิดจากสาเหตุหลากหลายประการและมีผลกระทบต่อร่างกายเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังมีวิธีลดความรู้สึกดังกล่าวนี้ได้เช่นกันตามที่ The ADAM Encyclopedia ได้เสนอแนะไว้ ดังต่อไปนี้

■จัดตารางเวลานอนให้ดี และนอนในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ
■ดื่มน้ำสะอาดปริมาณมากๆ ทุกวัน และรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการหลากหลาย
■ออกกำลังกายให้เพียงพอ เป็นประจำ และไม่ควรทำงานหรือเข้าสังคมมากเกินไป
■พยายามเปลี่ยนสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะก่อให้เกิดความเครียด
■ค้นหาวิธีการต่างๆ ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเครียด เช่น การทำสมาธิหรือการเล่นโยคะ
■ปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเกี่ยวกับการรับประทานวิตามินรวม
■หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด ,การสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ข่าวจาก: Drugs.com

สุขภาพ นมวัว กับ นมถั่วเหลือง นมไหนดีกว่ากัน


"ที่เค้าว่านมถั่วเหลืองดีอย่างโน้นอย่างนี้ แถมราคาก็ถูกกว่านมวัว แล้วอย่างนี้เราจะหันมาดื่มนมถั่วเหลืองแทนนมวัวซะเลยจะดีไหม"


คำถามนี้เคยเกิดขึ้นในใจ คุณบ้างรึเปล่า? วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยที่ว่านี้กันให้ชัด ๆ เลย


ในเรื่องของโปรตีน ถ้าทำน้ำถั่วเหลืองจากสูตร ถั่วเหลือง 1 ส่วนต่อน้ำ 8 ส่วน จะได้โปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว คือ ดื่มนมถั่วเหลือง 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) จะได้โปรตีน ประมาณ 6 กรัม (นมวัว 1 แก้ว จะได้โปรตีนประมาณ 7 กรัม) แต่คุณภาพโปรตีนในนมวัวมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลืองที่มาจากพืช แต่คุณภาพของโปตีนในนมถั่วเหลือง ก็สามารถเสริมให้ดีขึ้นได้ ด้วยการเติมเครื่องต่าง ๆ อย่างที่นิยมกัน เช่น ลูกเดือย สาคู ถั่วแดงลงไป ได้ทั้งความอร่อยแถมคุณค่าของโปรตีนสมบูรณ์ขึ้น


พลังงานที่ได้จากนมวัวจะมีไขมันมากกว่านมถั่วเหลืองถึง 2 เท่า คือนม วัว 1 แก้วจะให้พลังงาน ประมาณ 170 แคลอรี่ ส่วนนมถั่วเหลืองจะให้เพียง 80 แคลอรี่ เท่านั้น แต่คนที่ดื่มนมถั่วเหลืองเติมน้ำตาลมาก จนมีรสหวานกว่านมสดรสหวาน ก็จะได้พลังงานทั้งหมดพอ ๆ กัน แม้ว่านมถั่วเหลืองจะให้แคลเซียมที่น้อยกว่านมวัว แต่ให้ธาตุเหล็กและวิตามินบีหนึ่งที่มากกว่า


เราดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนนมวัวไม่ได้ เพราะจะมีแคลเซียมน้อยกว่านมวัวอยู่มาก แต่หากมีการเสริมแคลเซียมลงในนมถั่วเหลือง ก็เท่ากับว่าเสริมคุณค่าทางโภชนาการให้สมบูรณ์มากขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นอาหารเสริมก็ควรดื่ม วันละ 1-2 แก้ว


หากเป็นนมถั่วเหลืองธรรมดาที่ไม่ได้มีการเสริมแคลเซียม ขอแนะนำให้ดื่มนมวัวบ้างประมาณวันละ 1-2 แก้ว สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 2-3 แก้วสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับหญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตร เพื่อจะได้แคลเซียมอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในสภาวะนั้น ๆ




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"

นมจืด นมหวาน นมเปรี้ยว ดื่มแบบไหน ยังไงดี...?


นมจืด นมหวาน นมเปรี้ยว ดื่มแบบไหน ยังไงดี...?

โดยปกติแล้ว คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่จะเป็นคนซื้อนมมาให้ลูกๆ ดื่มตามรสชาติที่ลูกๆ ชอบ ทั้งนมรสสตอร์เบอร์รี่ รสช็อคโกแลต รสหวานต่างๆ เพราะคิดว่าไม่ว่าจะนมรสชาติไหนก็ล้วนให้ประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนๆ กัน โดยหารู้ไม่ว่ากำลังทำร้ายสุขภาพของลูกรักอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะจากการบอกเล่าของ กองโภชนาการ กรมอนามัย พบว่า หากเอานมโคสดแท้หรือนมรสจืด นมปรุงแต่งรสหวาน นมเปรี้ยว ปริมาณ 100 มิลลิลิตร มาเปรียบเทียบคุณค่าสารอาหาร อาทิ แคลเซียม จะพบว่า นมโคสดแท้ให้แคลเซียม 135 มก. นมหวาน 102 มก. นมเปรี้ยว 70 มก. มาดูเรื่องโปรตีน พบว่า นมโคสดแท้ให้โปรตีน 3.3 กรัม นมหวาน 2.3 กรัม นมเปรี้ยว 1.3 กรัม จะเห็นว่า นมจืด จะให้สารอาหารที่จำเป็นสูงที่สุดขณะที่ทั้งนมหวานและนมเปรี้ยวจะทำให้เด็กอ้วนได้มากกว่า เพราะมีการเติมน้ำตาลซึ่งมีแคลอรี่หรือพลังงานที่สูงกว่านมโคสดแท้ นอกจากนี้ นมสดรสธรรมชาติ ที่ถูกเติมน้ำตาลกลายเป็นนมหวาน เด็กจะเสี่ยงเป็นโรคฟันผุมากกว่าเด็กที่ดื่มนมจืด 2-3 เท่า!!!

เด็กตั้งแต่ 1 ขวบ ขึ้นไป สามารถดื่มนมได้ทุกชนิด แต่ที่เหมาะสำหรับเด็กที่มีอยู่ในวัยเจริญเติบโตคือ นมโคแท้ 100% และควรดื่มนมรสจืดดีที่สุด ส่วนวัยรุ่นและวัยกลางคน สามารถเลือกดื่มได้ตามใจชอบ แต่มีปัญหาโรคอ้วนหรือมีไขมันในเลือดสูงรวมถึงผู้สูงอายุ ควรดื่มนมพร่องมันเนยหรือขาดมันเนย เพราะจะมีไขมันน้อยดื่มแล้วไม่อ้วน และมีแคลเซียมสูงแต่ถ้าอยากดื่มนมโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวก็จะมีความหวานมากขึ้นเพิ่มแคลอรี่มากขึ้น ผู้สูงอายุบางท่านที่ดื่มนมไม่ได้ควรดื่มนมถั่วเหลืองแทนเนื่องจากได้โปรตีนจากถั่ว แต่จะต้องกินควบคู่ไปกับอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่นปลาเล็กปลาน้อย ก้างปลากรอบด้วย ซึ่งควรอ่านที่ฉลากเพื่อที่จะได้วางแผนการกินที่จะช่วยให้ร่างกายได้แคลเซียมแต่ละวันอย่างพอดีเช่นกัน

เรียกได้ว่า “นม” เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ให้คุณประโยชน์สำหรับทุกเพศทุกวัย และด้วยความมากประโยชน์นี้เอง ทำให้องค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ กำหนดให้วันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี เป็น “วันดื่มนมโลก” เพื่อให้ประเทศต่างๆ และองค์กรที่ให้ความสำคัญและสนับสนุนการบริโภคนม ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์และกระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการบริโภคนม…สสส.ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้คนไทยดื่มนมด้วยเช่นกันค่ะ

อยากให้ตัวเองและลูกน้อยมีสุขภาพที่ดีก็ต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับให้เพียงพอ และอย่าดื่มนมเป็นประจำนะคะ…

ว่าแต่!!!วันนี้ คุณดื่มนมแล้วหรือยัง...?

ไม่เจ็บ ไม่เตี้ย ไม่ป่วย..ง่ายๆ แค่ดื่มนม


นม นม นม...ขึ้นชื่อว่าเป็น “นม” ไม่ว่าจะเป็นนมเปรี้ยว นมหวาน นมจืด ทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น เพราะเป็นแหล่งรวมของวิตามิน เกลือแร่ต่างๆ มากมาย และสามารถรับประทานได้ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และวัยชรา เรียกว่า ยิ่งดื่ม ยิ่งดีต่อสุขภาพค่ะ…แต่ประโยชน์ที่นมมีคงไม่อาจเกิดได้ หากคนไทยไม่ดื่มนม!!!

ที่ต้องกล่าวเช่นนี้ เพราะจากการบอกเล่าของกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า คนไทยดื่มนมเพียง 14.19 ลิตร ต่อคนต่อปี ซึ่งสวนทางกลับการผลิตที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตนมดิบได้มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่อัตราบริโภคนมโดยเฉลี่ยของคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ที่ 60 ลิตรต่อคนต่อปี และของทั่วโลกอยู่ที่ 103.9 ลิตร ต่อคนต่อปี!!!...จากตัวเลขดังกล่าว จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เพราะเหตุคนไทยส่วนใหญ่จึงประสบกับปัญหาขาดแคลเซียม จนต้องเผชิญหน้ากับภาวะโรคกระดูกพรุนเมื่อย่างเข้าสู่วัยทำงานและวัยสูงอายุในที่สุด

ทำไมต้องดื่มนม...?

คำถามที่ใครๆ ต่างก็รู้คำตอบกันอยู่แล้วว่าที่ต้องดื่มนั้น เป็นเพราะ “นม” คือแหล่งอาหารที่ดีที่สุด เพราะอุดมไปด้วย แร่ธาตุต่างๆ ที่ร่างกายต้องการมากมาย อาทิ โปรแตสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยไม่ให้ความดันโลหิตสูงเกินกว่าปกติ นอกจากนี้ “นม” ยังเป็นแหล่งรวมสารอาหารอย่าง โปรตีนและเกลือแร่ที่สำคัญ เช่น ฟอสฟอรัส คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และวิตามิน เป็นต้น

หากดื่มนมตั้งแต่อายุน้อยๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกแตกหักได้ง่ายเมื่ออายุมากขึ้น เพราะเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปร่างกายของคนเราจะค่อยๆ เริ่มสูญเสียกระดูกมากกว่าที่จะสร้างกระดูก วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยรักษากระดูก และเกิดการสูญเสียกระดูกน้อยที่สุดคือการดื่มนมเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอนั่นเอง

ไม่เพียงเท่านี้ สารอาหารที่มีอยู่ใน "นม" ยังให้ความสดชื่น ไม่แตกต่างจากการดื่มน้ำ เพราะการดื่มนมเพียงหนึ่งหรือสองแก้วจะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นได้เช่นกัน

ดื่มเท่าไหร่ถึงจะดี...?

ความต้องการสารอาหารในนม ในแต่ละวัยนั้น ย่อมแตกต่างกันไป โดยในวัยเด็กควรได้รับแคลเซียม 800 – 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน หากเป็นเด็กแรกเกิดควรให้ดื่มนมจากอกแม่ จนถึงอายุ 2 ปี เพื่อให้ลูกน้อยได้รับวัคซีนหยดแรกจากสายน้ำนมที่อุดมไปด้วยสารอาหารนานาชนิด และเมื่อเข้าสู่ขวบปีที่ 3 จนถึงวัยรุ่น คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกดื่มนมวันละ 3 แก้วถึง 1 ลิตร เพื่อให้ลูกได้รับปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอ ซึ่งจะมีผลต่อความสูงและการสร้างเนื้อกระดูกให้มีความหนาแน่น อันจะเป็นประโยชน์ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ในการป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน

ส่วนในวัยผู้ใหญ่ไปจนถึงวัยสูงอายุ ควรได้รับแคลเซียม 1,000 – 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือดื่มนมวันละ 3 แก้ว เพื่อนำแคลเซียมไปเติมเต็มความแข็งแรงให้กับกระดูกและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายอีกด้วย นอกจากนี้ คุณแม่ที่กำลังอุ้มท้องเจ้าตัวน้อยอยู่ ควรได้รับแคลเซียม 1,500 – 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือดื่มนมให้ได้ 1 ลิตรต่อวัน เพราะร่างกายต้องการแคลเซียมทั้งเพื่อเสริมสร้างกระดูกและฟันของตนเองแล้ว ยังต้องการแคลเซียมเพื่อนำไปช่วยพัฒนาโครงสร้างร่างกายของทารกในครรภ์ด้วย แต่ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหนก็ตาม ในแต่ละวันทุกคนก็ควรดื่มนมให้ได้ 1-2 แก้วต่อวัน ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ก็จะช่วยให้กระดูกและฟันของเราแข็งแรงยิ่งขึ้นค่ะ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การดื่มนมจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย แต่ไม่ควรรับประทานเกินขนาดและปริมาณที่ระบุไว้ข้างต้น เพราะหากรับประทานเกินความจำเป็นจะส่งผลให้ร่างกายมีธาตุฟอสฟอรัสมากเกิน ซึ่งจะไปกระตุ้นต่อมพาราไทรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมาสลายกระดูกอีกต่อหนึ่ง ซึงเป็นเรื่องที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งค่ะ