เม้าท์คนฝรั่งเศส นิสัยอย่างนี้นี่เอง!

เม้าท์คนฝรั่งเศส นิสัยอย่างนี้นี่เอง!

คนฝรั่งเศสเค้าไม่ได้หยิ่งนะ อย่าเข้าใจผิด
1. คนฝรั่งเศสรักภาษาของตัวเองมากกกกกก เพราะเค้าคิดว่า ภาษาของเค้าเป็นภาษาที่เพราะที่สุดในโลก (แต่ก็เพราะจริงๆ แฮะ) ดังนั้นทำให้คนฝรั่งเศสไม่ค่อยนิยมเรียนภาษาอื่นๆ เพราะ เทิดทูนภาษาฝรั่งเศสของตัวเองสุดๆ
แต่อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของภาษาอังกฤษก็ยังอุตส่าห์แผ่ ขยายเข้ามาในฝรั่งเศส จนมีการใช้คำภาษาอังกฤษปะปนกับ ภาษาฝรั่งเศส รัฐบาลฝรั่งเศสจึงกลัวว่าภาษาฝรั่งเศสอาจจะเลือน หายไปได้ จึงพยายามอนุรักษ์ไว้ด้วยการออกกฎหมายบางฉบับ เพื่ออนุรักษ์ภาษาฝรั่งเศส โดยกำหนดให้ใช้คำจากภาษาฝรั่งเศส แท้ๆ ในโฆษณา ประกาศ และเอกสารราชการต่างๆ นอกจากนี้ยัง กำหนดให้สถานีวิทยุทุกสถานี เปิดเพลงภาษาฝรั่งเศสอย่างน้อย ร้อยละ 40 ของเพลงทั้งหมดที่เปิดในสถานีนั้นอีกด้วย
2. คนฝรั่งเศสไม่ได้หยิ่ง กรุณาอย่าเข้าใจผิด ! ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อแรกนั่นเองค่ะ คือคนฝรั่งเศสรักภาษาตัวเองมากจนไม่คิดจะเรียนภาษาอื่น ดังนั้นเวลาที่คนฝรั่งเศสเจอนักท่องเที่ยว ก็จะทำหน้านิ่ง(ค่อนข้างบึ้ง)ใส่ ก็เพราะว่าเค้าพูดภาษาอังกฤษได้น้อยหรืออาจจะพูดไม่ได้เลยค่ะ จึงทำหน้ายบึ้งใส่ไว้ก่อน อารมณ์ว่า อย่าเข้ามานะเฟ้ย ฉันฟังแกไม่ออกนะ ดังนั้นเลยทำให้คนชาติอื่นมักมองว่าคนฝรั่งเศสหยิ่งนั่นเองค่ะ

3. คนฝรั่งเศสเป็นชาติที่รักสุนัขมากๆๆๆ ดังนั้นถ้าไปฝรั่งเศส สิ่งสำคัญที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือกับดักหรืออุจจาระของน้องหมานั่น เอง แหะๆ แม้แต่ในห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารส่วนมากก็อนุญาตให้ นำสุนัขเข้าไปได้ด้วย (ใครแพ้ขนสุนัขอาจลำบากหน่อยนะคะ)
และที่สำคัญมากๆ เวลาที่เราไปทานอาหารในร้าน อย่าบอกเด็กเสิร์ฟ เชียวนะคะว่า "ช่วยห่ออาหารที่เหลือกลับให้หน่อย จะเอาไปฝากหมาที่ บ้าน" เพราะสุนัขที่ฝรั่งเศสไฮโซกว่านั้นคือไม่กินของเหลือค่ะ ต้องกิน อาหารดีๆ ไม่ต่างจากคนเลย ดังนั้นการขอให้ช่วยห่อเศษอาหารกลับใน ร้านอาหารถือเป็นเรื่องไม่สุภาพทีเดียวค่ะ

4. คนฝรั่งเศสเป็นชาติที่เคร่งครัดในกฎมากๆ (น่าจะมีผลมาจากที่ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านกฎหมาย) แม้กระทั่งถ้าน้องๆ จะเอาของฝากไปให้เพื่อน ก็จะต้องเขียนจดหมายแนบและลงลายเซ็นเป็นลายลักษณ์อักษรเลยว่าฝากไปจริงๆ นะ ข้างในมีอะไร ฝากไว้ตอนกี่โมง คนฝรั่งเศสส่วนมากจะเคร่งครัดเรื่องแบบนี้มากๆ ค่ะ เพราะเค้ากลัวจะต้องรับผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำนั่นเอง

5. หนังสือที่ฝรั่งเศสส่วนมากห้ามถ่ายเอกสาร ! อย่างที่บอกไปในข้อ 4 ว่าคนฝรั่งเศสเคร่งครัดกฎมากๆ รวมถึงลิขสิทธิ์หนังสือด้วย หนังสือแทบทุกเล่มจะมีระบุเอาไว้ว่าห้ามถ่ายเอกสาร ถ้านำไปถ่ายถือว่ามีความผิด (แต่ส่วนมากที่ร้านถ่ายเอกสารก็ไม่รับถ่ายตั้งแต่แรกแล้วล่ะ) ดังนั้นถ้าใครมีโอกาสไปเรียนฝรั่งเศสแล้วเป็นพวกชอบถ่ายเอกสาร เย็บเป็นรายงาน แล้วนำมาส่งอาจารย์นี่เลิกคิดได้เลยค่ะ 5555 แต่ถ้าเกิดมีความจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องถ่ายเอกสาร ประมาณว่าหนังสือเล่มนี้หาซื้อไม่ได้อีกแล้วในโลก ก็สามารถติดต่อทางโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยให้ช่วยติดต่อไปยังสำนักพิมพ์ของหนังสือนั้นเพื่อขอนำมาถ่ายเอกสารก็ได้ค่ะ (แน่นอนว่าต้องเสียเงิน)


6. คนฝรั่งเศสเป็นชาติที่อ่อนโยนและใส่ใจห่วงใยต่อความรู้สึกของคนอื่นมาก ถ้าใครได้มีโอกาสเป็นเพื่อนกับคนฝรั่งเศสล่ะก็ รับรองว่ามักจะถูกถามบ่อยๆ เลยว่า หิวมั้ย อยากกินอะไรรึเปล่า เมื่อยตรงไหนมั้ย พอใจหรือยัง เนื่องจากเค้ากลัวว่าจะดูแลเราไม่ดีนั่นเองค่ะ จึงมักถามและใส่ใจเราอยู่เสมอว่าเรายังขาดเหลือหรือต้องการอะไรเพิ่มอีกมั้ย

9 เคล็ดลับดีๆ เพื่อคนรักสุขภาพ



















เมืองลอยในน้ำยุคที่น้ำท่วมโลก

เมืองลอยในน้ำยุคที่น้ำท่วมโลก เอาไว้ใช้ใน 2012 รึเปล่า ?







ช่วงนี้กระแสน้ำท่วมโลกค่อนข้างมาแรง หลายคนอาจกำลังกังวลใจไปต่างๆ นานาถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดจากน้ำท่วมโลก ด้วยเหตุนี้เองมนุษย์จึงพยายามดิ้นรนหาทางรอดเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าโลกจะไม่ใช่โลกอย่างที่เราเคยอยู่อาศัยกันดังเช่นในปัจจุบัน ปัจจุบันแต่ละประเทศก็เริ่มแข่งขันกันคิดค้นโครงการแห่งอนาคตมากมาย หลายคนคงเริ่มจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้วว่าต่อไปมนุษยชาติ จะอยู่อาศัยกันบนโลกใบนี้กันอย่างไรในอนาคต แน่นอนว่าตัวอย่างของเมืองในอนาคตที่เชื่อว่าใครๆคงต้องทึ่งในแนวคิด และไอเดียของสถาปนิก ที่นำเสนอทางเลือกใหม่ของเมืองแห่งอนาคต ออกมาได้อย่างน่าอยู่เป็นที่สุด เมืองลอยน้ำลิลี่แพด (The Lilypad Project) เมืองลอยน้ำที่สุดแสนจะน่าอยู่แบบสุดๆ ซึ่ง Project นี้ เป็นผลงานของ Vincent Callebaut ซึ่งเป็นสถาปนิก ชาวเบลเยี่ยม โดยเมืองลอยน้ำลิลี่แพด ได้แรงบันดาลใจจากรูปทรงของใบบัวขนาดใหญ่ “อะมาโซเนีย วิคตอเรีย เรเจีย ลิลีแพด” ที่มีลักษณะเป็นใบกว้างลอยอยู่เหนือน้ำ (ทำหน้าที่คอยรองรับน้ำฝนและฟอกน้ำ ให้สะอาด) แน่นอนว่าโครงการของ Vincent Callebaut อาจกลายเป็นทางออก ในอนาคตสำหรับวิกฤตการณ์น้ำท่วมในอนาคตก็ได้

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ [Musée du Louvre]

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์


พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (ฝรั่งเศส: Musée du Louvre) หรือในชื่อทางการว่า the Grand Louvre เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะอันตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้เมื่อปี พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1793) มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์คาเปเทียง ตัวอาคารเดิมทีเคยเป็นพระราชวังหลวง ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antioch ในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก[ต้องการอ้างอิง] และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส
*พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกัน





Musée du Louvre



Le musée du Louvre est le plus grand musée de Paris par sa surface (210 000 m2 dont 68 000 consacrés aux expositions[1]) et l'un des plus importants du monde. Situé au cœur de la ville, entre la rive droite de la Seine et la rue de Rivoli, dans le Ier arrondissement, le bâtiment est un ancien palais royal, le palais du Louvre. La statue équestre de Louis XIV constitue le point de départ de l'axe historique, mais le palais n'est pas aligné sur cet axe. Le Louvre possède une longue histoire de conservation artistique et historique de la France, depuis les rois capétiens jusqu'à nos jours.
Musée universaliste, le Louvre couvre une chronologie et une aire géographique larges, depuis l'Antiquité jusqu'à 1848, de l'Europe occidentale jusqu'à l'Iran, via la Grèce, l'Égypte et le Proche-Orient. Il est constitué de huit départements: Antiquités orientales, Antiquités égyptiennes, Antiquités grecques, étrusques et romaines, Arts de l'Islam, Sculptures, Objets d'art, Peintures, Arts Graphiques et présente 35 000 œuvres dans 60 600 m2 de salles. À
Paris, la période postérieure à 1848 pour les arts européens est prise en charge par le musée d'Orsay et le centre Georges-Pompidou, alors que les arts asiatiques sont exposés au musée Guimet. Les arts d'Afrique, d'Amérique et d'Océanie prennent quant à eux place au musée du quai Branly, mais une centaine de chefs-d'œuvre sont exposés au pavillon des Sessions. Les œuvres sont de nature variée : peintures, sculptures, dessins, céramiques, objets archéologiques et objets d'art entre autres. Parmi les pièces les plus célèbres du musée se trouvent le Code d'Hammurabi, la Vénus de Milo, La Joconde de Léonard de Vinci, et La Liberté guidant le peuple d'Eugène Delacroix. Le Louvre est le musée le plus visité au monde, avec 8,5 millions de visiteurs en 2008[2].
Ce site est desservi par la station de métro : Palais Royal - Musée du Louvre


ไขความลับในขวดน้ำหอม

ไขความลับในขวดน้ำหอม !!!!~~


ใครจะคิดว่าอุตสาหกรรมน้ำหอมจะทำรายได้ได้ถึงปีละกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญอเมริกันเมื่อก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ว่ากันว่า ณ วันนี้ผู้หญิงทั่วโลกใช้น้ำหอมเฉลี่ยถึงคนละ 6 กลิ่น นอกเหนือไปจากน้ำหอมกลิ่น “พิเศษ” ที่แต่ละคนจะไม่ยอมบอกใครเป็นอันขาดถึงน้ำหอมกลิ่นลับสุดยอดของตัวเอง

Grasse เมืองแห่งน้ำหอมของฝรั่งเศส
และใช่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นปัจจุบันผู้ชายอย่างน้อยกว่าร้อยล้านคนทั่วโลกต่างก็เป็นผู้บริโภคน้ำหอมกันโดยถ้วนหน้า เรียกว่าใช้กันไม่แพ้ผู้หญิงเลยทีเดียว เพราะนอกจากพ่อเจ้าประคุณทั้งหลายจะใช้น้ำหอมกลิ่นอ่อนๆหลังอาบน้ำประเภท eau de toilet แล้ว น้ำหอมหลังโกนหนวดก็ยังเป็นสินค้าที่ขายดีติดอันดับด้วยเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ยุคโบราณมนุษย์เริ่มรู้จักนำเครื่องหอมมาใช้เพื่อระงับกลิ่นกาย ภายหลังการชำระล้างร่างกายก่อนที่จะทำการบวงสรวงเทพเจ้าพื่อให้ร่างกายมีกลิ่นที่สดชื่น และจากการใช้กลิ่นหอมเหล่านี้ผลพลอยได้ก็คือผู้ที่อยู่รอบข้างเมื่อได้กลิ่นก็เกิดความนิยมชมชื่นใช่เพียงแต่เพื่อเทพเจ้าเท่านั้น ผู้ที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือผู้เป็นชายาหรือสวามีของผู้ใช้ซึ่งล้วนเป็นบุคคลชั้นปกครองนั่นเอง จากนั้นได้มีการจำแนกกลิ่นของหอมจากแหล่งที่มาต่าง ๆ ทั้งดอกไม้ พืช ดินบางชนิดไปจนถึงกลิ่นที่มาจากสัตว์ นำมาสกัดและใช้ผสมกับน้ำมันเพื่อสะดวกในการแต่งแต้มไปบนส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งค้นพบในเวลาต่อมาว่ากลิ่นของน้ำมันหอมจะเปลี่ยนไปตามกลิ่นเหงื่อและอุณหภูมิของผู้ใช้

ขวดน้ำหอมสไตล์ฝรั่งเศส
การใช้เครื่องหอมนอกจากจะเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้ใช้แล้วยังเป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียดและความว้าวุ่นทางอารมณ์ได้ด้วย จึงมีการนำเครื่องหอมมาใช้ในการบำบัดภาวะทางจิตเป็นบางกรณี อันเป็นต้นกำเนิดของการใช้สุวคนธ์บำบัด
การค้าเครื่องหอมเริ่มมีความสำคัญทีละน้อย จากเดิมที่นิยมกันตามท้องถิ่นนั้น ๆ จนเมื่อการคมนาคมเจริญขึ้นทำให้เกิดความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากดินแดนในทวีปต่างๆ การเดินทางของเครื่องหอมได้เพิ่มมูลค่าอย่างไม่มีขีดจำกัด เครื่องหอมเหล่านี้จึงกลายเป็นสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยมาแต่โบราณกาล แต่ปริมาณการผลิตยังไม่มากเท่ากับความต้องการของผู้ใช้จึงทำให้การตั้งราคาเป็นไปตามความพอใจของผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ ดังนั้นจึงเริ่มมีการนำกลิ่นหอมต่างๆมาผสมขึ้นด้วยกลเม็ดและความชำนาญอันเกิดจากประสบการณ์ ตลาดเครื่องหอมจึงเป็นตลาดของชนชั้นสูงเท่านั้น
การตั้งห้องทดลองเพื่อค้นคว้า สกัดกลิ่น และผสมเครื่องหอมต่างๆเริ่มแพร่หลายในยุคต่อมาจนกระทั่งถึงยุคกลาง จากนั้นในยุคของศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการนำน้ำหอมมาผสมกับสารอื่นๆเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ที่ต่างกันออกไป เช่นใช้กับเครื่องเรือน ถุงมือ พัด จนถึงการนำไปผสมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้ในห้องน้ำเช่นสบู่หอม น้ำยาบ้วนปาก

จากน้ำหอมต่อยอดมาถึงผลิตภัณฑสปา
การเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำหอมเริ่มจะอิ่มตัวในปลายศตวรรษที่ 20 แต่แล้วการเปิดตัวของ spa และ therapy house ต่างๆได้กลายเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดเครื่องหอมกลับแตกยอดต่อไปได้อย่างงดงาม
เมื่อผลิตภัณฑ์เครื่องหอมถูกผลิตออกมาในรูปแบบแปลกๆใหม่ ทำให้ยอดของการบริโภคเครื่องหอมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และผลิตภัณฑ์ต่างๆล้วนถูกบรรจุในภาชนะบรรจุที่ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน ผสมผสานกับความรู้ในเชิงจิตวิทยาที่เย้ายวนความต้องการของผู้ชื้อ จนตลาดเครื่องหอมทั่วทั้งโลกถูกกระตุ้นด้วยแรงซื้ออย่างมหาศาลอีกตรั้ง สวนทางกับตลาดสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆอย่างเห็นได้ชัด

ทุกวันนี้ประเทศผู้ผลิตต่างระดมนักวิชาการและนักการตลาด พัฒนาสรรพความรู้และความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อชิงส่วนแบ่งของตลาดสินค้าชนิดนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะสินค้าเครื่องหอมยังคงมีอนาคตที่สุดสดใสนั่นเอง


ขอบคุณ : http://www.hometophit.com/hometh/interresting.php?news_id=630&key=%E4%A2%A4%C7%D2%C1%C5%D1%BA%E3%B9%A2%C7%B4%B9%E9%D3%CB%CD%C1

CROISSANTS ฝรั่งเศส

CROISSANTS ฝรั่งเศส



ส่วนประกอบ

1 c. น้ำนม
1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหมู
1 ช้อนโต๊ะน้ำตาล
3 / 4 ช้อนชา เกลือ
1 pkg yeast ยีสต์
1 / 4 c. น้ำอุ่น
แป้งอเนกประสงค์ (ประมาณ 2 1 / 2 c. )
1 c. เนย
ครีม


วิธีทำ

นมน้ำร้อนลวก เพิ่มหมูน้ำตาลและเกลือเย็นไปอุ่น
เพิ่มยีสต์และแป้งพอที่จะนวด เลี้ยวผ้า floured เล็กน้อยนวดให้กลับไปที่โถ ให้เพิ่มขึ้นถึงสองเท่าในกลุ่ม ในตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง

เลี้ยวผ้า เล็กน้อยและม้วน ในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า, 1 / 4 นิ้วหนา กระจายกับเนย 4 ช้อนโต๊ะ และพับปลายต่อจากศูนย์ทำให้ชั้น 3 เปิดรอบทางไตรมาส แผ่ออกเป็นก่อนและกระจายอีกครั้งกับเนย 4 ช้อนโต๊ะ ซ้ำสองครั้ง สองชั่วโมงหรือนานกว่า แบ่งครึ่ง รูปร่างเช่นม้วนเสี้ยว วางบนแผ่นคุกกี้ 20 นาที แปรงกับครีม อบ 30 นาทีเริ่มต้นที่ 400 องศาและลดลงเป็นม้วนสีน้ำตาลถึง 350 องศาเซลเซียส . ทำให้ 24 crescents


Sport in France



Popular sports include football, both codes of rugby football and in certain regions basketball and handball. France has hosted events such as the 1938 and 1998 FIFA World Cups, and hosted the 2007 Rugby Union World Cup. Stade de France in Paris is the largest stadium in France and was the venue for the 1998 FIFA World Cup final, and hosted the 2007 Rugby World Cup final in October 2007. France also hosts the annual Tour de France, the most famous road bicycle race in the world. France is also famous for its 24 Hours of Le Mans sports car endurance race held in the Sarthe department. Several major tennis tournaments take place in France, including the Paris Masters and the French Open, one of the four Grand Slam tournaments.France has a close association with the Modern Olympic Games; it was a French aristocrat, Baron Pierre de Coubertin, who suggested the Games' revival, at the end of the 19th century. After Athens was awarded the first Games, in reference to the Greek origins of the ancient Olympics, Paris hosted the second Games in 1900. Paris was also the first home of the International Olympic Committee, before it moved to Lausanne. Since that 1900 Games, France has hosted the Olympics on four further occasions: the 1924 Summer Olympics, again in Paris and three Winter Games (1924 in Chamonix, 1968 in Grenoble and 1992 in Albertville).Both the national football team and the national rugby union team are nicknamed “Les Bleus” in reference to the team’s shirt color as well as the national French tricolor flag. The football team is among the most successful in the world, particularly at the turn of the 21st century, with one FIFA World Cup victory in 1998, one FIFA World Cup second place in 2006, and two European Championships in 1984 and 2000. The top national football club competition is the Ligue 1. Rugby is also very popular, particularly in Paris and the southwest of France. The national rugby team has competed at every Rugby World Cup, and takes part in the annual Six Nations Championship. Following from a strong domestic tournament the French rugby team has won sixteen Six Nations Championships, including eight grand slams; and have reached the semi-finals and final of the Rugby World Cup.


MATT POKORA นักร้อง R 'n B ขวัญใจสาวๆ ชาวฝรั่งเศส

MATT POKORA

เป็นนักร้องชาวฝรั่งเศส เมื่อตอน2-3ปีที่แล้วดังมาก มีซิงเกิ้ลร้องคู่กับริคกี้ มาร์ติน แล้วก็มีเพลงดังมากมาย แต่ในตอนนั้น M ยังร้องเป็นภาษาฝรั่งเศสอยู่ ตอนนี้ร้องภาษาอังกฤษได้แล้วเลยโดนจับมาร้องกับนักร้องคุณภาพดีในแถบนั้นมากมาย บางเพลงยังได้ Timberland มาโปรดิวซ์ให้ด้วย เจ๋งจริงๆ นักร้องคนนี้ น่าปลื้มสุดๆ ลองหาเพลง I Loved You มาฟังนะ เพราะดีๆ ความหมายก็ดี อัลบั้มใหม่ก็พึ่งออกเมื่อต้นปีนี้เอง


อาหารของประเทศฝรั่งเศส WoWWW!!!~


แท่น...แท้น
อาหารฝรั่งเศสอันแสนโอชะจ้า
ประเทศฝรั่งเศสเนี่ยนะเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าให้ความสำคัญ
ในด้านอาหารการกินมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
ในขณะที่ทั่วโลกอาหารฟาสต์ฟู้ดแบบอเมริกันกำลังเป็นที่นิยม
แต่ที่ฝรั่งเศสแล้วล่ะก็ เหอะๆ ดูท่าจะถูกหมางเมินไปหน่อยล่ะ
เพราะคนที่นี่เค้าให้ความพิถีพิถันในด้านอาหารเป็นพิเศษ
ดังนั้นจานแรกวันนี้ที่วาวขอนำเสนอจึงเป็นหนึ่งในอาหาร
ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดของอาหารระดับโลก
นั่นก็คือ...ฟัวกรา(foie gras)หรือตับห่าน



ฟัวกรานี้ เป็น ฟัวกราบด แล้วเอาไปทอด
แบบนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ามีในไทย ท่าทางจะเป็นสูตรเฉพาะ
ของร้านที่ฝรั่งเศส ใครอยากไปชิมก็เชิญได้ที่...
ร้านLe luicongแคว้นเบรอตาญค่ะ(รูปนี้จากร้านเขาน่ะ)


หากพูดถึงฟัวกราแล้วจะไม่พูดถึงเจ้าอาหารที่ได้ชื่อว่า
เป็นสุดยอดอีกอันก็คงไม่ได้...คาเวียร์(caviar)
คิดว่าหลายๆคนคงจะเคยได้ยินชื่อและกิติศัพท์
ของเจ้าคาเวียร์มาบ้างแล้ว เอาล่ะหน้าตามันเป็นอย่างงี้(เม็ดดำๆนั่นแล)



ปิดตำหรับอาหารคาวด้วยเนื้อแปลกๆบ้าง
คนฝรั่งเศสช่างกินแล้วก็ช่างสรรหาสัตว์มาเป็นอาหารเจงๆ
ขอนำเสนอ...ขากบทอดค่ะ