8 อาหารทำให้ ง่วงนอนตลอดเวลา

1. กาแฟ ดื่มกาแฟตอนเช้าโดยที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่าจะทำให้ง่วงได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟได้ 30 นาที กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมองส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้นแล้วความง่วงก็จะตามมา

2. กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็วช่วยสลายความเครียด ฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟรินจากกล้วยจะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข แต่ถ้ารับประทานกล้วยมากเกินไปจะทำให้เราเกียจคร้านและไม่อยากขยับเคลื่อนไหวร่างกาย

3. ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ง่วงนอน ดังนั้น ช็อกโกแลตจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยให้นอนหลับและถ้าหากมีโกโก้ในปริมาณสูงก็จะทำให้รู้สึกมีความสุข

4. ครัวซองต์ หากรับประทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้นจะรู้สึกง่วงนอน เพราะครัวซองต์มีปริมาณแป้งขัดขาวมากและอุดมไปด้วยไขมันอีกด้วยซึ่งไขมันจำเป็นต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้น เมื่อรับประทานครัวซองต์เข้าไปร่างกายก็จะดึงเลือดจากสมองไปที่กระเพาะเป็นจำนวนมากเมื่อสมองมีเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอก็จะทำให้ง่วงนอน หากคุณต้องทำงานเร่งด่วนก็ควรรับประทานครัวซองต์ได้แค่ชิ้นเล็ก ๆ หนึ่งชิ้น

5. ขนมปังขาวและข้าวขาว อาหารทุกชนิดที่ทำมาจากแป้งขัดขาวเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ง่วงเหตุผลก็คือ มันเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วนจึงทำให้ตับอ่อนต้องหลั่งอินซูลินออกมามากจึงทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน

6. ถั่วเปลือกแข็ง มีกากใยอาหารมากซึ่งจะไปชะงักกระบวนการย่อยอาหารและยังถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่โดยไม่ได้ย่อย และกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่จัดการกับกากใยอาหาร ผลก็คือทำให้ท้องอืดเฟ้อและง่วงนอนโดยเฉพาะถ้ารับประทานถั่วผสมเกลือก็จะทำลายวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบีซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

7. ของหวาน เช่น ขนมหวาน เค้ก คุกกี้ เครื่องดื่มหวาน ๆ น้ำตาล ทำให้ง่วงนอนและยังเป็นตัวแย่งวินามินบีไปจากร่างกายเราด้วย เช่น วิตามินบี 1 บี 3 บี 6 และกรดโฟลิก และเมื่อร่างกายขาดแคลนวิตามินดังกล่าวก็จะทำให้เรี่ยวแรงถดถอยจึงส่งผลให้รู้สึกง่วง

8. ผลิตภัณฑ์นมหรือโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ถ้ารับประทานโยเกิร์ตเข้าไปมากก็จะทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและโปรตีน แต่ในขณะเดียวกันโปรตีนที่ว่านี้ก็จะแยกกรดอะมิโนจากร่างกายซึ่งจะส่งผลให้มีกรดมากเกินในร่างกายและทำให้ง่วงตลอดเวลา

ประโยชน์ของเปลือกกล้วย

ใครที่ชอบกินกล้วย แล้วอย่าเพิ่งทิ้งเปลือก เพราะเปลือกกล้วยก็มีประโยชน์ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

เปลือกกล้วยมีเยื่อเมือกซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ดังนี้

สามารถนำมาทาผิวให้ความชุ่มชื้น แก่ผิวได้ในหน้าหนาวผิวหนังจะแห้งแตก ใช้เปลือกด้านในนำมาทาถูผิวหนังจะชุ่มชื่น ตึงเรียบเนียน

สามารถนำมาทาถู บริเวณแมลง สัตว์กัดต่อย ลดอาการ บวม แดง คัน ได้

สามารถนำมาหมักผม ขจัดรังแค หนังศรีษะแห้งเป็นขุย ผมแห้งหยาบกระด้าง นำเปลือกมาขูดเอาเฉพาะเยื่อข้างในเปลือกมาผสมกับน้ำผึ้งให้เป็นเนื้อครีมเข้มข้นหมักเส้นผมไว้ประมาณ 30 นาที แล้วสระผมตามปกติ ก็จะทำให้หนังศรีษะปราศจากรังแค เส้นผมนุ่มสวย

สามารถแก้ปวดเมื่อยได้ โดยนำเอาเปลือกไปอังไฟ แล้วนำเอาเปลือกมาประคบบริเวณที่ปวดเมื่อย จะบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้

สามารถนำมาถูคราบเขม่า ตามหน้าเตาแก๊ส โดยนำเปลือกกล้วยถูบริเวณที่มีคราบเขม่าแล้วนำผ้าแห้งเช็ดถูอีกครั้งจะได้เตาแก๊สที่สะอาดเหมือนใหม่อยู่เสมอ

ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์

น้ำมัน(oil) ทองสีดำอันสูงค่า





น้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ติดไฟได้นั้นเป็นที่รู้จักกันดีมาช้านานแล้ว คนโบราณเรียกก๊าซธรรมชาติที่ติดไฟได้ที่ไหลออกมาเองนั้นว่า “ไฟกัป” คือไฟที่ลุกไหม้อยู่ตลอดเวลาไม่มีดับ ในคัมภีร์โบราณยังกล่าวถึงจุดที่น้ำมันไหลออกมาเองหลายจุดในทะเลเดดซี (Dead sea) ในสมัยโบราณถือว่าน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติที่ไหลออกมาเองนั้นเป็นพระเจ้า การบูชาไฟจากการเผาน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติเป็นวัฒธรรมที่ นิยมแพร่หลายกันมาก แพร่หลายไปจนถึงประเทศอิหร่านในศตวรรษที่ 7 คงเป็นเพราะประเทศนี้มีก๊าซธรรมชาติที่จุดติดไฟได้ไหลออกมามากมายหลายบริเวณจนนับไม่ถ้วนก็เป็นได้ มนุษย์ได้นำเอาน้ำมันไปใช้ทำอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างด้วยกันได้ใช้ทำเป็นยา ใช้จุดส่องแสงสว่าง และยังใช้ทำคบเพลิงเวลาสู้รบกัน หลายพันปีในสมัยเมโสโปเตเมีย ได้มีการขุดเอาแอสฟัลต์ไปใช้ในการก่อสร้าง ได้ใช้บิทูเมนเหนียว ๆ ทำเป็นตัวเชื่อมประสานแทนปูน ทำกำแพงรอบเมืองเพื่อป้องกันข้าศึก ในประเทศอียิปต์ ค้นพบหลักฐานว่าเมื่อประมาณ 3,000-4,000 ปีมาแล้ว ได้มีการใช้น้ำมันดิบหล่อลื่นล้อและเพลาของรถม้า ใช้จุดตะเกียง ใช้ประสานรอยต่อระหว่างแผ่นอิฐ ในประเทศจีน ราว 3,000 ปีมาแล้ว มีการใช้ปิโตรเลียมจุดตะเกียงตามบ้านเรือน ในราวศตวรรษที่ 17 มีการกลั่นน้ำมันจากหินน้ำมันโดยใช้ความร้อนจากฟืน การนำน้ำมันขึ้นมาใช้ได้ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ การนำน้ำมันขึ้นมาใช้ได้หยุดชะงักลงไประยะหนึ่งช่วงศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษ ที่ 19 เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ลุกลามกินอาณาบริเวณกว้างขวางและมีคนตาย การเปิดศักราชใหม่ของอุตสาหกรรมน้ำมันเกิดขึ้นเมื่อปี ค. ศ. 1859 เมื่อมีการเจาะหาน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในโลกที่เมืองทิทูสวิลล์ (Titusville) รัฐเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) สหรัฐอเมริกา โดย พันเอก เอ็ดวิน เดรก (Colonel Edwin Drake) บ่อน้ำมันหรือหลุมเจาะนี้ลึก 69.5 ฟุต ความสำเร็จนี้ทำให้คนตื่นน้ำมันกันมาก เพราะบ่อนี้ผลิตน้ำมันดิบได้วันละ 25 บาร์เรล และขายได้บาร์เรลละ 18 เหรียญอเมริกันสมัยนั้น และในปีค.ศ. 1860 โรงกลั่นน้ำมันที่ค่อนข้างสมบูรณ์ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองทิทูสวิลล์เช่นกัน โรงกลั่นนี้ประกอบด้วยหม้อกลั่น 6 ใบ และเครื่องฟอกสี อุปกรณ์ทั้งหมดรวมทั้งถังอยู่รวมกันภายใต้หลังคาเดียว ผลจากการกลั่นได้ผลิตภัณฑ์ไม่เกิน 50 % ของน้ำมันดิบ และยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับผลพลอยได้อื่น ๆ จึงเผาทิ้งเสีย ศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงเวลาที่ระบบนายทุนกำลังรุ่งเรืองมาก ทำให้เกิดความต้องการใช้น้ำมันจุดตะเกียงกันอย่างมาก บรรดาเทียนไขที่ทำจากไขสัตว์ชนิดต่าง ๆ นั้น และน้ำมันตะเกียงที่ได้จากพืชและสัตว์ไม่พอแก่ความต้องการ ในสมัยนั้นความต้องการใช้แสงสว่างไม่เพียงแต่ตามบ้านเท่านั้น อีกทั้งตามร้านค้า และโรงงานอุตสาหกรรมก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังต้องการใช้น้ำมันในการหล่อลื่นเครื่องยนต์อีกด้วย เป็นเหตุให้ต้องพยายามนำเอาน้ำมันแร่หรือน้ำมันปิโตรเลียมมาใช้แทน การผลิตน้ำมันจึงค่อยพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคของเครื่องไฟฟ้าและเครื่องจักร เครื่องยนต์ไอน้ำเปลี่ยนเป็นเครื่องจักรที่ใช้น้ำมันแทน เรือรบ เรือสินค้าทั้งหลายก็ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงแทน เพราะนอกจากจะให้ความร้อนสูงแล้ว ยังสะอาด และง่ายแก่การเก็บ การบรรทุกอีกด้วย สิ่งใหม่ ๆ ที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จาก น้ำมัน เช่น รถยนต์ เครื่องบิน รถถัง ในช่วงระยะ 40 ปีหลังๆ มานี้ การใช้น้ำมันและผลิตภัณฑ์ของน้ำมันนั้น ไม่เพียงแต่ใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการเคลื่อนที่ไปได้หรือในรูปน้ำมันหล่อลื่นเท่านั้น แต่ยังได้ใช้ผลิตผลอื่นๆ จากการขุดเจาะปิโตรเลียมในรูปวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเคมีอีกด้วย

“เพตรา” นครศิลาสีกุหลาบ



“เพตรา” มหานครศิลาทรายสีชมพู หรือ Red Road City เมืองมรดกโลกที่แกะสลักขึ้นจากภูเขาทั้งลูก คำว่า"เพตรา"มีความหมายแปลว่า “หิน” ในภาษากรีก เป็นเมืองที่น่าตื่นตาตื่นใจกับการขี่ม้าลัดเลาะไปตามหุบเขาและเดินเท้าเข้าสู่รอยแยกของเปลือกโลก (Siq) ที่ซ่อนความยิ่งใหญ่ตระการตาของมหาวิหารปราสาททรายสีชมพู “เอล คาซเนห์” มานับพันปี...


“จอร์แดน” ถือเป็นประเทศศูนย์กลางแห่งมิตรภาพแห่งตะวันออกกลาง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สถานที่โมเสสเสียชีวิต และแหล่งอารยธรรมหัวเมืองเอกของอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่กว่า 2,000 ปีมาแล้ว
เมืองเพตรา “นครศิลาสีกุหลาบ” เมืองที่ถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของผู้คนและสูญหายไปจากแผนที่นานนับพันปี ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาที่สูงชันประดุจเป็นปราการอันยิ่งใหญ่
เมื่อลัดเลาะไปตามพื้นหินและทรายกว่า 800 เมตร ที่จะมุ่งหน้าไปในเส้นทางมหัศจรรย์ที่ทางเข้าออกของเมืองเพตรา คือ บริเวณซอกเขาเรียกว่า ซิค (Siq) เป็นหุบเขาสูง 250 ฟุต และทอดคดเคี้ยวไปบนเส้นทางที่พาดผ่านเข้าไปถึงใจกลางเมือง เกิดจากการถูกน้ำซัดกัดกร่อนจนเกิดเป็นช่องทางเดินเล็กๆ ระหว่างหุบเขา ความสวยงามของหุบเขาทั้งสองด้าน สวยงามด้วยสีสันของหินสีต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ชมร่องรอยซากปรักหักพังที่ยังมีร่องรอยให้เห็นการจัดการเรื่องการชลประทานในการลำเลียงน้ำจากแหล่งน้ำภูเขาเข้าสู่ตัวเมืองได้อย่างน่าทึ่ง และยังมีภาพศิลปะแกะสลักจากภูเขาอีกมากมาย


จากนั้นเข้าเขตหน้าผาสูงชันสองข้างทางสู่มหานครแห่งศิลาทรายสีชมพูตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ปราสาททรายสีชมพู ที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “อินเดียน่า โจนส์” ภาค 3 ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า มหาวิหารแกะสลักเสลาจากภูเขาอย่างกลมกลืนได้สัดส่วนและสวยงามน่าอัศจรรย์เป็นอาคาร 2 ชั้น ประดับ ด้วยเสาแบบคอรินเทียนส์และรูปคน ซึ่งสลักขึ้นจากเขาบริเวณกลางเมือง ว่ากันว่าเป็นคลังที่เก็บสมบัติของฟาโรห์
“เพตรา” เคยเป็นเมืองหลวงของพวก นาเบเธียนมา ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ทำเลที่ตั้งของเมืองอยู่กึ่งกลางของเส้นทางการค้าคาบสมุทรอาระเบีย-ลุ่มแม่น้ำไนล์ และปาเลสไตน์-ลุ่ม แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส เลยไปจนถึงอินเดีย จึงทำให้เป็นเมืองศูนย์กลางเส้นทางการค้าทางบกอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ชาวโรมันจึงได้เข้ามายึดครอง จนกระทั่งในปี 363 ได้เกิดแผ่นดินไหวบ้านเรือนภายในเมืองพังทลายลงมาประกอบกับมีการเปิดเส้นทางการค้าทางทะเลที่อ่าวสุเอช ชาวเมืองจึงพากันละทิ้งเมืองไปอยู่ที่อื่น เพตรากลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด


เมื่อเวลาผ่านไป ทรายได้ปลิวมาปกคลุมเมืองทั้งเมือง จนหายไปจากแผนที่นานกว่าพันปี แต่ในที่สุดปี 1813 จอห์น เลวิช เบอร์คฮาร์ดท์ นักเดินทางชาวสวิสได้มาพบนครแห่งนี้ จึงเริ่มปรากฏแก่สายตาชาวโลกอีกครั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังสำรวจเส้นทางระหว่างดามัสกัส ไปยังไคโร แต่ดันไปได้ยินเรื่องราวของนครเพตราแล่นเข้าหู ทำให้เบิร์กฮาร์ดต์เกิดแรงบันดาลใจที่จะค้นหานครที่หายสาบสูญนี้ให้ได้ หนุ่มนักสำรวจไฟแรงเริ่มลงมือเรียนภาษาอาหรับ จนพูดได้คล่อง จากนั้นก็ปลอมตัวเป็นชาวอาหรับ เข้าไปคลุกคลีกับชาวเบดูอิน ซึ่งเป็นผู้รู้เส้นทางไปสู่นครเพตราจนในที่สุดชาวเบดูอินใจอ่อนยอมพาเขาเข้าไปสำรวจซากเมืองนี้จากหมู่บ้านเอลจี เบดูอินพาเบิร์กฮาร์ดต์เดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ทอดยาวผ่าน วาดี มูสา และเข้าไปอยู่ในวงล้อมของหุบเขา จนเมื่อเห็นเมืองอันกว้างใหญ่อยู่ตรงหน้ามีทั้งความใหญ่โตโอ่อ่าของวิหาร สุสานของเมืองหิน เขาถึงกับตกตะลึง เมื่อมีจังหวะเหมาะเขาจึงแอบสเก็ตช์ภาพของเมืองลับแลแห่งนี้ออกมา เมื่อรูปที่เบิร์กฮาร์ดต์เขียนถึงเพตรา ถูกเผยแพร่ออกไปผู้คนต่างพากันตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจกับความงามแปลกตาน่าฉงนของนครลับแล จากนั้นราวปี 1826 นักสำรวจชาวฝรั่งเศสอีก 2 คน คือ เคาน์ท ลีออง เดอ ลาบอร์เด และ มัวรีส ลีโนต์ เดินทางเข้าไปสำรวจเพตราอีกครั้งและสเก็ตช์ภาพที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นออกมาเผยแพร่ จากนั้นความงดงามและความอัศจรรย์ของเมืองลับแลที่ชื่อเพตราก็ถูกเปิดเผยสู่โลกปัจจุบันอีกครั้ง และในปี 1985 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 แห่งของโลก

รู้สาเหตุ-จะได้ไม่เป็นสิว



ช่วงชีวิตวัยรุ่นมีไม่กี่คนที่ผ่านมาโดยไม่มีสิว เพราะระดับฮอร์โมนกำลังพุ่งพล่านเปลี่ยนแปลง แต่ความจริงแล้วปัญหาสิวมาจากหลายสาเหตุ พี่มิ้งจะมาแจกแจงปัจจัยทั้งหลายให้น้องๆ ไประวังไม่ให้เกิดสิวกันครับ
สาเหตุของสิวฮอร์โมน วัยรุ่นอย่างน้องๆ จะมีระดับฮอร์โมนมาก ผลจากอยู่ในช่วงวัยกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพครั้งใหญ่ ผู้ชายถ้ามีฮอร์โมน Androgen ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายมากเกินไป ก็จะไปกระตุ้นต่อมไขมันให้มีการสร้างไขมันที่ผิวหนัง ขณะที่ผู้หญิงก่อนมีประจำเดือนก็จะมีสิวเพิ่มขึ้น ทั้งสองเพศเมื่อย่างเข้าวัยรุ่นจะพบปัญหาสิวมากเป็นพิเศษ เนื่องจากการขยายขนาดของของต่อมไขมันสิ่งสกปรกฝุ่น ควัน เชื้อโรค จากภายนอกที่มีมาอยู่ในรูขุมขนของเรา จะเกิดการอุดตันและเกิดเป็นสิวหรือสิวอักเสบได้ ยังมีปัจจัยภายในอย่างเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว โฟมล้างหน้าแบบสครับจะช่วยขัดผิวได้ดี พันธุกรรมหากพ่อ แม่ พี่ ญาติ มีประวัติการเป็นสิว เตรียมใจไว้เลยเรามีโอกาสที่จะเป็นสิวสูง การใช้ชีวิตน้องๆ ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ,ความเครียด,ท้องผูก มีส่วนทำให้เกิดสิวได้เช่นกันแสงแดดความร้อนของแสงแดดทำเกิดเหงือและเกิดความหมักหมมจนเกิดสิวได้การทำความสะอาดควรทำความสะอาดหน้าเป็นระยะเมื่อเห็นว่าหน้าสกปรก แต่การล้างหน้าบ่อยก็อาจทำให้ผิวระคาเคืองจนเกิดสิวได้เหมือนกันนะ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าบางชนิดก็ทำให้แพ้จนเกิดสิวได้เช่นกัน สารเคมีเครื่องสำอาง, ยาสระผมที่มีโปรตีนผสมอยู่, สบู่, ยาสเตียรอยด์, ยาจำพวกฮอร์โมน หรือสารเคมีที่น้องๆ แพ้ ต่างเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้เช่นกันผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้าผลิตภัณฑ์ชนิดที่มีฟองอาจทิ้งสารเคมีตกค้าง ผลิตภัณฑ์สมูทอี ไวท์ เบบี้เฟซ สครับ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะลดสิวเสี้ยน ทำให้ผิวขาวและคุมความมันถ้าเราทราบต้นตอของสิวแล้ว จะได้ป้องกันรักษากันได้ถูกจุด การดูแลรักษาจะได้มีประสิทธิภาพ จะได้หน้าใสปิ๊งกันทันใจ

กินไข่กันเถอะ..

ผลการศึกษายืนยัน กินไข่ทุกวัน ไม่ได้ทำให้เป็นคอเลสเตอรอล

"กินไข่ ทำให้แข็งแรง เพราะเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ" กับ "กินไข่ ทำให้คอเสเตอรอลสูง" สองคำกล่าวที่ทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าการกินไข่ทุกวันจะดีหรือร้ายต่อร่างกาย กันแน่ วันนี้เราจะมาเฉลยกัน

เมนูไข่เจียวร้อนๆ แทบจะเรียกไดว่าฟาสต์ฟู้ตคนไทยที่อร่อยสุดยอด หรือ ออมเลตแบบอเมริกันเบรกฟาสท์ ทำให้ผู้ที่รักสุขภาพมากมายเริ่มไม่ไว้วางใจ เพราะกลัวคอเลสเตอรอลที่มากับไข่แดงจะถามหา เลยเลือกกินแต่ไข่ขาว ซึ่งน่าเสียดายมากเหมือนการโยนคุณค่าของอารหารที่ดีทิ้งไป เพราะในไข่แดงประกอบไปด้วย วิตามินบี วิตามินเอ โฟเลต โคลีน เกลือแร่ แคลเซียมและเหล็ก

ไข่แดงมีโคเลสเตอรอลสูงนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ร่างกายเราก็จำเป็นต้องมีคอเลสเตอรอลที่เหมาะสมในกระบวนการเผาผลาญอาหาร หล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย หากเรากินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำตลอดเวลา ร่างกายก็ต้องผลิตออกมาเพื่อสร้างความสมดุล เว้นแต่หากคุณมีคอเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว ถึงจะควรหลีกเลี่ยงไข่แดง

นอกจากนี้การกินไข่ ยังทำให้ได้ไขมันดีเพิ่มขึ้น มหาวิทยาลัย North Carolina สหรัฐอเมริกา สนับสนุนให้กินไข่ทุกวันเพราะเป็นแหล่งสารอาหารที่ดีมากโดยเฉพาะโคลีนที่มี มากในไข่แดง ซึ่งช่วยให้ระบบเซลล์สื่อประสาททำงานได้ดี ช่วยเรื่องความจำ เด็ก ๆ ควรกินสม่ำเสมอเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องโคเลสเตอรอล

ส่วนการกินไข่ไม่ได้ทำให้อ้วน จากการติดตามศึกษาของกลุ่มคนที่รับประทานอาหารเช้าเป็นไข่เทียบกับกลุ่มที่ กินซีเรียลและขนมปัง เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่กินไข่เป็นอาหารเช้าจะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยต่ำกว่า เพราะโปรตีนจากไข่ร่างกายจะค่อยๆย่อยเป็นพลังงานอย่างช้าๆ ต่างกับการกินคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันจะย่อยเร็วก่วา จึงทำให้หิวเร็วและกินซ้ำมากกว่า

ไข่มีคอเลสเตอรอลสูง 200 มิลลิกรัมซึ่งสมาคมโรคหัวใจของอเมริกา (American Heart Association) ได้ให้ข้อกำหนดว่าเราควรกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ทำการศึกษาว่าการกินไข่มากกว่าวันละฟอง ไม่ทำให้ความเสี่ยงของโรคหัวใจเพิ่มขึ้น แต่การปฏิเสธไม่กินไข่เลยหรือเลือกกินเฉพาะไข่ขาวไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเพราะ ร่างกายหากได้โคเลสเตอรอลไม่เพียงพอร่างกายเราก็จะพยายามผลิตออกมาเอง ซึ่งอาจจะมากกว่าการกินเข้าไป

อย่างไรก็ตาม การกินไข่แบบพอดี คือวันละฟองหรือสัปดาห์หนึ่ง 3-4 ฟอง จะไม่ก่อปัญหาแต่ที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการได้ไขมันส่วนเกินจากเครื่อง เคียงเสียมากกว่า เช่น ไข่เจียวที่อมน้ำมัน ซึ่งนำมันจะเป็นตัวสร้างปัญหามากกว่าไข่แน่นอน และที่ปลอดภัยที่สุด การกินไข่ต้มรับรองว่าคุณได้สารอาหารที่ครบคุณค่าและปลอดภัยจากไขมันที่มา จากการปรุง สำหรับผู้ใหญ่ที่มีปัญหาสุขภาพก็ควรระมัดระวัง แต่สำหรับเด็ก ๆ ไข่คืออาหารที่คุ้มค่าคุ้มราคาเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับ

Source : Never-Age.com

การดื่มน้ำช่วยรักษาสิว !

ทำไมการดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจึงช่วยกำจัดสิวได้

การ ดื่มน้ำสะอาดนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นและมีประโยชน์ในการทำความสะอาดผิวและ สุขภาพโดยรวม เนื่องจากน้ำเป็นตัวลำเลียงสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย และมีความเกี่ยวเนื่องในการรักษาและป้องกันการเกิดสิวได้

ควรดื่มน้ำวันละกี่แก้ว? คำตอบคืออย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวันเพื่อให้ผิวสวยสุขภาพดีร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วยส่วนที่เป็น น้ำถึง 70% และมีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานของร่างกายแทบจะทุกส่วน รวมถึงระบบย่อยอาหาร, การดูดซึม, ระบบไหลเวียนของเลือด และการขับถ่ายน้ำยังทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้สารพิษก่อตัวขึ้นอันเป็นเหตุให้เกิดสิว จึงควรดื่มน้ำเพื่อให้น้ำกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ไตซึ่งทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างกายก็จำเป็นที่จะต้องใช้น้ำในกระบวน การดังกล่าว ดังนั้นการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะเป็นการกำจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกายทางผิวหนังได้ด้วย จึงทำให้รูขุมขนสะอาดและป้องกันการเกิดสิวได้

ไตของเราก็ไม่อาจทำหน้าที่ได้เป็นปกติหากได้รับน้ำไม่เพียงพอในการขับสาร พิษออกจากร่างกาย และเมื่อทำงานไม่เต็มที่ก็จะมีบางส่วนที่จะถูกเก็บไปไว้ที่ตับ
หน้าที่ ของตับก็คือการเผาผลาญไขมันเพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ถ้าตับต้องรับหน้าที่จากไตเพิ่มด้วย ก็จะทำให้ตับทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เมื่อตับทำงานได้ไม่สมบูรณ์ก็มีผลทำให้เกิดสิวได้ เนื่องจากตับไม่สามารถหยุดการทำงานและขจัดฮอร์โมนส่วนเกินจากร่างกายได้

ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับน้ำ
น้ำเป็นปัจจัยหนึ่งที่ สำคัญในการลดน้ำหนักและทำให้ไม่ค่อยหิว ทั้งยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่สะสมเอาไว้ด้วย การศึกษาพบว่าเมื่อดื่มน้ำปริมาณน้อยลงจะทำให้ร่างกายสะสมไขมันเพิ่มขึ้น ในขณะที่เมื่อดื่มน้ำปริมาณมากขึ้นก็จะช่วยลดไขมันสะสมได้ การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจะช่วยกำจัดน้ำเสียที่คั่งอยู่ในร่างกายได้ ซึ่งการคั่งค้างของน้ำเสียในร่างกายได้แก่โซเดียม น้ำสะอาดจะช่วยขจัดโซเดียมออกจากร่างกายได้
น้ำยังช่วยบรรเทาอาการท้อง ผูก เมื่อร่างกายได้รับน้ำน้อยเกินไป ร่างกายก็จะดึงน้ำจากส่วนอื่น ๆ ภายในระบบของร่างกายมาใช้แทน ระบบลำไส้เป็นส่วนแรกที่ร่างกายจะดึงเอาน้ำออกมาใช้ทดแทนเพื่อไหลเวียนใน ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย จึงเป็นเหตุทำให้ท้องผูก แต่หากดื่มน้ำสะอาดเพียงพอลำไส้ก็จะทำหน้าที่ตามปกติได้ดังเดิม
ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงจำเป็นสำหรับผิว เพื่อผิวที่สะอาดสดใสมีสุขภาพดี

แปลและเรียบเรียงโดย www.acnethai.com

จริงหรือที่ว่า... ดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยป้องกันการเป็นโรคหัวใจได้

สมัยนี้มักจะมีข่าวในสื่ออยู่เนืองๆ ว่าการดื่มสุราเมรัยหรือถ้าเรียกแบบวิทยาศาสตร์หน่อยก็ว่า แอลกอฮอล์สามารถป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้ เรื่องนี้ดูเหมือนจะเริ่มต้นโด่งดังขึ้นมา ตั้งแต่มีการรายงานเรื่องไวน์แดงที่คนฝรั่งเศสดื่มกันเป็นประจำว่า สามารถป้องกันโรคหัวใจได้ แล้วก็มีการศึกษาเรื่องไวน์กันมาก ศึกษากันว่าอะไรแน่หนอในไวน์แดงที่ทำให้ป้องกันโรคหัวใจได้

การศึกษาอะไรต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมดเป็นการศึกษาแบบระบาดวิทยา คือการดูจากคนส่วนมากว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้ศึกษาแบบที่แสดงเหตุและผลของสารตัวใดตัวหนึ่ง แบบสุ่มเปรียบเทียบกับสารหลอก แบบวิทยาศาสตร์จ๋า ที่เขาเรียกว่า double blind control trial การศึกษาแบบระบาดวิทยาน่าเชื่อถือน้อยกว่า แต่ไม่ใช่การศึกษาแบบระบาดวิทยาจะใช้ไม่ได้

อย่างเช่นในเรื่องที่ว่าการสูบบุหารี่ทำให้เกิดมะเร็งก็ได้ จากการศึกษาแบบระบาดวิทยา ยังไม่มีใครเคยทดลองให้คนสูบบุหรี่เปรียบกับคนไม่สูบ แล้วติดตามดูผลเป็นเวลาแรมปีให้รู้ถึงเหตุผลและผลของการสูญบุหรี่แบบวิทยา ศาสตร์จ๋าจริงๆ การทดลองแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ เมื่อระบาดวิทยาบ่งชี้ชัดมากอย่างนั้น ไม่มีใครที่มีจริยธรรมกล้าทำการทดลองอย่างนั้น เรื่องนี้เป็นจุดอ่อน เป็นเรื่องที่อุตสาหกรรมยาสูบเอาไปอ้างเข้าข้างตัวเองมานาน

แต่ระบาดวิทยาในบางเรื่องก็ผิดพลาด เช่น ในเรื่องการให้ฮอร์โมนเพศหญิงทดแทนในหญิงหมดระดู เมื่อก่อนเคยมีการศึกษาระบาดวิทยาพบว่า ฮอร์โมนเพศหญิงสามารถป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้ แต่ตอนหลังเมื่อมีการทดลองสุ่ม เปรียบเทียบฮอร์โมนเพศหญิงกับยาหลอก แล้วจึงเห็นผลชัดว่า ฮอร์โมนเพศหญิงที่ให้ทดแทนในหญิงหมดระดู ทำให้เกิดมะเร็งเต้านมมากขึ้น โรคหัวใจมากขึ้น โรคลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำมากขึ้น ฯลฯ จนตอนนี้ต้องแนะนำให้เลิกใช้ฮอร์โมนทดแทนในหญิงหมดประจำเดือนแบบเหวี่ยงแห

อย่างไรก็ตามข้อมูลสนับสนุนการดื่มแอลกอฮอล์จำนวนน้อยๆ เป็นประจำเพื่อป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด ก็ยังหนักแน่นไม่มีอะไรมาลบล้าง ถ้าท่านเป็นอีกคนหนึ่งที่ดื่มเหล้าแบบรับผิดชอบได้คือ กินเหล้าแบบไม่ให้เหล้ากิน กินเหล้าเพื่อสุขภาพ ก็ควรจะทำต่อไปได้ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยกินเหล้ามาก่อน ก็ไม่ควรจะเริ่มต้น เพราะการกินเหล้านอกจากผิดศีลและเสียหายอย่างอื่นแล้ว เหล้านั้นมีข้อเสียต่อสุขภาพของอวัยวะสำคัญอย่างอื่นคือตับ

เป็นที่ทราบกันแน่นอนแล้ว่า แอลกอฮอล์ถ้าดื่มเป็นประจำเป็นเวลานานๆ จะมีผลเสียต่อตับ เช่น บางคนไม่ต้องดื่มมากแค่วันละ 2 แก้วต่อวันเป็นเวลานานๆ หลายปี ก็อาจจะเป็นโรคตับได้แล้ว แต่ตับคนเรามีปฏิกิริยาตอบสนองต่อแอลกอฮอล์ไม่เหมือนกัน บางคนติดเหล้าเรื้อรัง ดื่มมากเป็นเวลานานแต่ตับกลับไม่เป็นอะไร มันน่าแปลก แต่นั่นเป็นคนส่วนน้อย คนส่วนใหญ่จะเกิดโรคจากการดื่มเหล้า

ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.elib-online.com/doctors46/med_alcohol001.html

รูปหัวใจทำไมเป็นแบบนี้...



กล่าวกันว่าหัวใจเป็นที่กำเนิดและแหล่งพักพิง ของความรักและความรู้สึกทั้งมวล ดังนั้นเราจึงมักแทนความรู้สึกรักใคร่เสน่หาด้วยรูปหัวใจ

รูปหัวใจที่มีลักษณะโค้งนูนสองข้างด้านบน กับมีปลายแหลมตรงกลางด้านล่างนั้น เป็นสัญลักษณ์ที่พบว่ามีใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๒ อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารูปหัวใจที่ใช้กันมาเนิ่นนานนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับหัวใจจริง ๆ แต่ก็มีบางคนให้ความเห็นว่า รูปหัวใจนั้น ดู ๆ ไปก็คล้ายกับสะโพกคนด้วยความเห็นนี้มีความหมายมิใช่น้อย เพราะสำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีวิวัฒนาการสูง เช่น ลิง หรือคน (primates) แล้วสะโพกเป็นส่วนที่กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ จึงเป็นไปได้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นจุดกำเนิดหรือที่มาของรูปหัวใจที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน

กระนั้นก็ตาม คนที่เห็นต่างออกไปเสนอว่า รูปหัวใจนั้นดูคล้ายกับลำตัวของผู้หญิง (ตั้งแต่ส่วนอกลงมาถึงส่วนเอวที่คอด) มากกว่า แต่ผู้ที่เสนอความเห็นประการหลังนี้ไม่ได้ให้เหตุผลประกอบแต่อย่างใด ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ที่มาของรูปหัวใจนั้นใครจะมองเป็นเช่นใดก็ขึ้นกับจินตนาการ เหตุผล และอารมณ์ที่แตกต่างกันไปของแต่ละคนกระมัง

เครดิต: “ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี”

ทำไมหิ่งห้อยจึงต้อง คู่กับต้นลำพู


หิ่งห้อยเป็นแมลงปีกแข็ง ขนาดเล็ก สามารถทำแสงกระพริบได้ในเวลากลางคืน หิ่งห้อยได้ชื่อว่าเป็นแมลงที่ให้ความสวยงามยามราตรี ซึ่งส่วนใหญ่เราจะเห็นว่าหิ่งห้อยมักจะเกาะอยู่บนต้นลำพู จึงเกิดข้อสงสัยว่าหิ่งห้อยจะเกาะอยู่แต่เฉพาะบนต้นลำพูเท่านั้นหรือ

สุรเชษฐ จามรมาน หัวหน้าภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายว่า หิ่งห้อย เป็นแมลงปีกแข็ง และ ชอบออกหากินตอนกลางคืน แหล่งที่อยู่ของหิ่งห้อยคือ ตามพุ่งไม้ ตามที่ชุ่มชื้นใกล้หนองน้ำ หรือตามลำธารที่มีน้ำใสสะอาด และที่สำคัญต้องเป็นน้ำนิ่ง รวมไปถึงบริเวณป่าโกงกาง ในระยะตัวเต็มวัยหิ่งห้อยมักจะเกาะอยู่ตามต้นไม้ต่างๆ ซึ่งต้นไม้ที่หิ่งห้อยชอบเกาะส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่มีใบขนาดเล็ก ผิวเรียบ ไม่มีขนทำให้ระคายเคืองต่อตัวหิ่งห้อย เช่น ต้นลำพู ตันลำแพน โพทะเล ต้นฝาก ต้นแสม ต้นสาคู และต้นเหงือกปลาหมอ เป็นต้น

แต่เรามักจะเห็นหิ่งห้อยเกาะอยู่บนต้นลำพูเป็นส่วนใหญ่ มีข้อสันนิษฐานว่าสาเหตุที่หิ่งห้อยชอบเกาะบนต้นลำพูเนื่องจากต้นลำพูเป็น ต้นไม้ใหญ่ มีพุ่มใบหนา และมีใบขนาดเล็กเหมาะสำหรับหิ่งห้อยที่โตเต็มวัยเกาะเพื่อผสมพันธุ์ และเป็นที่ที่เหมาะสำหรับตัวอ่อนอยู่อาศัย เพราะลักษณะโดยทั่วไปของต้นลำพูคือรากของต้นลำพูจะอยู่เหนือพื้นดินระดับที่ แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเมื่อน้ำทะเลขึ้น น้ำทะเลก็จะท่วมต้นลำพู แต่ก็มีรากบางส่วนที่น้ำทะเลไม่สามารถท่วมถึง ตัวหนอนของหิ่งห้อยก็จะหนีน้ำขึ้นไปอยู่ในส่วนที่น้ำท่วมไม่ถึง จากสาเหตุผลที่กล่าวมาทำให้ทราบว่าเหตุใดหิ่งห้อยจึงชอบเกาะอยู่บนต้นลำพู แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องพบหิ่งห้อยเกาะอยู่เฉพาะบนต้นลำพูเท่านั้น เรายังสามารถพบหิ่งห้อยบนต้นไม้ชนิดอื่นๆ ได้อีกตามที่กล่าวมาข้างต้น

TIPS คน จีนและคนบราซิลในอดีต มักจับหิ่งห้อยมาใส่ขวดแก้วเพื่อใช้แทนตะเกียงโดยใช้หิ่งห้อยขนาดโตเต็มที่ ประมาณ 6 ตัวก็สามารถให้แสงสว่างมากพอที่จะอ่านหนังสือตอนกลางคืนได้เลยทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)