Aquarelle.

L’aquarelle est une technique picturale utilisant, à l'instar du lavis, l'eau comme médium mais s'en différencie par l'utilisation de couleurs. Il s'applique généralement sur du papier épais. L'une de ses principales propriétés est la transparence. Un de ses principaux avantages étant la rapidité d'exécution. Un de ses principaux inconvénients est la difficulté.



Le Printemps ;]


Le Printemps



La nature s'étire paresseusement et le printemps est une incitation à l'éveil des sens.


Une couche verte couvre la Navarre, hêtres et chênes se parent de feuilles, les prés affichent de vives couleurs et les fleurs embellissent les façades des maisons. Avec le dégel, on entend à nouveau les ruisseaux qui descendent, puissants, des Pyrénées puis serpentent, lourds et tranquilles, dans la Zone Moyenne et la Ribera. Les animaux de la forêt chuchotent, ça sent l'herbe fraîche et les légumes de saison poussent. Le printemps se fait palpable, avec les cinq sens.
La douceur du climat invite à la randonnée : dans les Pyrénées, dans les montagnes d'Aralar ou d'Andía, ou suivant les anciens tracés du chemin de fer. Le printemps constitue la saison idéale pour parcourir l'aride désert des Bardenas Reales. Les amateurs de pêche du saumon trouveront dans la Bidassoa l'endroit parfait pour pêcher le saumon atlantique.



Le dégel vert éveille aussi les traditions. Corella accueille la Semaine Sainte avec sa procession baroque du Santo Entierro, tandis que Tudela fête el Volatín et la Descente de l'Ange.


Le programme religieux continue avec un rosaire de pèlerinages vers Ujué, El Yugo, Roncevaux, Labiano et Codés.




Dans la Basilique San Gregorio Ostiense sont vénérées les reliques du saint protecteur des champs et des récoltes, tandis que le Sanctuaire de Codés attire de nombreux pèlerins des villages proches au cours du mois de mai.

ฟองดูว์ (อาหารของฝรั่งเศส)


ส่วนผสม


ดาร์กช๊อกโกแลต หั่นเป็นชิ้นเล็ก 200 กรัม


เนยสด 30 กรัม


เหล้ารัมขาว 1 ช้อนโต๊ะ


วิปปิ้งครีม 150 มล.


ผลไม้สด สตอเบอรี่ ,กล้วยหอม ,กีวี่ ,แอปเปิ้ล


วิธีทำ


1. นำช็อคโกแลตที่หั่นแล้ว พร้อมเนยสด ใส่ลงในชามแก้วทนความร้อน


2 .นำวิปปิ้งครีมไปต้มให้เดือด โดยใช้ไฟอ่อน แล้วเทลงในชามแก้ว


3 .ผสมและคนให้เข้ากันดีโดยใช้ตะกร้อมือ จนกว่าช็อกโกแลตและเนยละลายจนเนื้อเนียนดี ,ถ้ายังไม่ละลายดี ให้นำใส่ในไมโครเวฟ ไฟกลาง 1 นาที คนให้เข้ากันอีกครั้ง


4 .นำไปเทในหม้อฟองดูว์เซรามิคอุ่นด้วยเชื้อเพลิงแอลกอฮอล์


5 .หั่นผลไม้สด ขนาดชิ้นพอดีคำ ใช้ส้อมฟองดูว์จิ้มในหม้อช็อคโกแลตฟองดูว์

อร่อยมั้ยค้ะ ?

ไข่ไก่ต้านสมองเสื่อม!!


ไข่ไก่ต้านสมองเสื่อม (Woman's Story)

ไข่ไก่ นับเป็นอาหารประจำบ้านที่เต็มไปด้วนคุณค่าทางโภชนาการ และมีประโยชน์มหาศาลต่อสุขภาพ แต่นอกจากนี้แล้วมีใครรู้บ้างว่า ไข่ไก่ยังสามารถต้านโรคสมองเสื่อมได้อีกด้วย ไปติดตามข้อมูลเรื่องนี้กัน

"โรคอัลไซเมอร์" คาดว่าน่าจะเกิดจากการที่สมองถูกทำลาย หรือมีการเสื่อมสภาพไปตามอายุขัย มีการถดถอยหน้าที่ของสมอง เพราะโรคนี้มักเกิดในผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปี ขึ้นไป อย่างไรก็ตาม อาจจะพบในคนที่มีอายุน้อยกว่านี้ แต่อัตราเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ จะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นด้วย และนับเป็นอีกโรครุนแรงที่สำคัญ เนื่องจากเป็นโรคที่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีวิธีการใดที่จะสามารถรักษาผู้ป่วยให้หายได้ จะทำได้ก็เพียงแค่การรักษาให้อาการดีขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้เท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตามจากการที่ทำการศึกษาสารอาหารหลายชนิด และผลวิจัยสรุปว่า โคลีน มีผลต่อขบวนการส่งกระแสประสาท ที่เกี่ยวข้องกับความจำและการรับรู้ หรือเรียกได้ว่า มีบทบาทต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้โดยเฉพาะระบบความจำ เนื่องจากเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์สมอง ที่เริ่มตั้งแต่เป็นทารกอยู่ในครรภ์เรื่อยไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย เพราะโคลีนเป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์ สารอะเซติลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อนำประสาทที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความจำ และการควบคุมกล้ามเนื้อ ฯลฯ โดยสรุปก็คือ โคลีน สามารถป้องกันและรักษาโรคอัลไซเมอร์ได้

และสำหรับอาหารที่เป็นแหล่งของโคลีนนั้น ผลการวิจัยสรุปว่า ไข่แดงของไข่ไก่ เป็นอาหารที่มีโคลีนอยู่ในปริมาณมากที่สุดชนิดหนึ่ง และการกินไข่ก็มีผลโดยตรงต่อการเพิ่มประสิทธิภาพความจำ และความสามารถในการเรียนรู้ และยังช่วยชะลอการสูญเสียความทรงจำในผู้สูงอายุ รวมทั้งมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด และหลอดเลือดหัวใจ

แฮ่ม...เห็นไหมคะว่า ไข่ไก่ เป็นอาหารเปี่ยมคุณค่า สารพัดประโยชน์ แถมราคาก็ไม่แพงถ้าเปรียบเทียบกับอาหารชนิดอื่น และความคุ้มค่าที่ได้รับ.

คุณกินน้ำตาลมากไปหรือเปล่า?



คุณกินน้ำตาลมากไปหรือเปล่า (คู่หูเดินทาง)

เมื่อกินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุลทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับ ในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือด และเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกาย ที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง กลายเป็นไขมันส่วนเกินในที่สุด

หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่น ๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ดังนั้น อวัยวะเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไขมันและน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมองทำให้รู้สึกง่วงนอน

นอกจากนี้ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หันมาดื่มน้ำผลไม้คั้นสดหรือน้ำเปล่าธรรมดาแทน อย่าลืมหมั่นออกกำลังกาย เนื่องจากหลังออกกำลังกายต่อเนื่องสัก 20 นาที ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแอนโดรฟีนออกมาตามธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า มีความสุข ลดความกังวล และความเครียดได้

ระวัง! รังสียูวี ทำร้ายดวงตา


ประเภทของรังสียูวีที่ทำร้ายดวงตา

รังวียูวีซี

รังสียูวีซี จะส่งผลเสียต่อกระจกตาและเลนส์ตา โดยหากได้รับแสงยูวีประเภทนี้เป็นเวลานานกว่า 30 นาทีจนถึง 12 ชั่วโมง ก็จะมีอาการระคายเคืองที่ตาเหมือนมีสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่น หรือ เศษผงเข้าตา อาจมีน้ำตาคลอ หรือซึมอยู่ตลอด และรู้สึกเจ็บอีกด้วย

รังวียูวีเอ

รังสียูวีเอ จะส่งผลเสียต่อกระจกตาและเยื่อตา ทำให้มีอาการเมื่อยล้าที่กล้ามเนื้อตา หรือ สูญเสียการมองเห็นอาจชั่วคราวหรือถาวร

โรคที่ตามมาจากการได้รับรังสียูวีมากเกินไป

โรคต้อกระจก

รังสียูวีส่งผลให้เกิดต้อกระจกได้ง่ายและทำให้จอตาเสื่อมสภาพลง โดยทั้งสองกรณีนี้ มีการสันนิษฐานว่า แสงยูวีนั้นก่อให้เกิดการสร้างสารอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนและเกิดปฏิกิริยากับไขมันที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้

จริงอยู่ว่าต้อกระจกนั้นเกิดขึ้นได้เมื่อเรามีอายุมากขึ้น แต่สิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดต้อกระจกได้เร็วขึ้น นั่นก็คือเจ้ารังสียูวีนี่เอง ดังนั้น นักกีฬาส่วนใหญ่ที่ต้องอยู่กลางแจ้งบ่อย ๆ แม้จะอายุยังไม่มาก ก็มักจะเป็นต้อกระจกได้เพราะได้รับแสงยูวีในปริมาณที่มากเกินไปนั่นเอง

สำหรับอาการของโรคต้อกระจก ก็คือ เลนส์แก้วตาจะเริ่มขุ่นมัวทีละน้อย ๆ แต่หากเป็นมาก ๆ เข้า ความขุ่นมัวนั้นจะลุกลามเข้าไปถึงส่วนกลางของกระจกตา ซึ่งจะทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจนเหมือนปกติ

โรคต้อเนื้อ

ต้อเนื้อเป็นการเสื่อมของเยื่อบุตา กลายเป็นเนื้อสีแดงรูปสามเหลี่ยมยื่นเข้าสู่ตาดำ เกิดจากเยื่อบุตาส่วนนั้นถูกแสงยูวีจากดวงอาทิตย์มามากเกินไป โดยหากเป็นต้อเนื้อแล้ว จะรู้สึกเคืองตา แสบตา คันตา ตาแดง น้ำตาไหล และอาการจะเป็นมากขึ้นเมื่ออยู่กลางแจ้ง โดนแดดและโดนลม ในผู้ที่เป็นน้อยมักไม่มีอาการผิดปกติ ซึ่งอาจดูเหมือนไม่อันตราย แต่ในบางกรณี หากต้อเนื้อลุกลามไปบดบังตรงกลางของกระจกตา อาจมีผลต่อการมองเห็น

6 ข้อดี ของการสอบตก(สักครั้งในชีวิต)


1.เป็นบทเรียนชีวิต ทำให้เห็นความสำคัญของการอ่านหนังสือ บางคนสอบตกครั้งนึง ก็เป็นบทเรียนที่เจ็บ ชวนจำไปตลอดชีวิต ทำให้สอบคราวหน้าไม่ประมาท รู้จักแบ่งเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น เพราะตระหนักได้ด้วยตัวเองแล้วว่า การอ่านหนังสือมันสำคัญแค่ไหน ไม่อ่านหนังสือแล้วสอบตก มันไม่คุ้มกันหรอก!! ผิดกับคนที่สอบผ่านมาตลอด ก็จะชิวไปเรื่อยๆ แต่ถ้าประมาทแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซักวันใดวันนึงเค้าอาจจะต้องมานั่งร้องไห้ก็ได้

2. รู้จุดอ่อนและรู้จักตัวเองมากขึ้น การตกในรายวิชาใดๆ ก็ตาม จะทำให้เรารู้ข้อบกพร่องหรือจุดอ่อน เกี่ยวกับวิชานั้นๆ หลังจากนั้น น้องๆ ก็จะได้รู้จักแก้ไขให้ตรงจุด ด้วยการทำความเข้าใจบทเรียนในรายวิชานั้นๆ เพิ่มขึ้น จะได้ไม่เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไง

3.ทำให้เราเห็นคุณค่าของคะแนนมากขึ้น ในขณะที่พวกเทพๆ มุ่งมั่นจะเอาเต็มให้ได้ทุกวิชา พวกเขาไม่รู้หรอกว่าคนที่สอบตกเพราะขาดไป 1 คะแนน เค้ารู้สึกกันยังไง เพราะคนกลุ่มหลังนี้จะรู้ว่าคะแนนนั้นไม่ได้มาได้ง่ายๆ 1 คะแนน ถือว่ามีค่าสุดๆ ทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้ ดังนั้นในโอกาสต่อๆ ไป ก็รู้จักที่จะใส่ใจกับการอ่านหนังสือ เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนที่มาจากความพยายามล้วนๆ

4.สร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง ในโอกาสอื่นๆ ที่สอบได้คะแนนน้อย (ไม่ต้องถึงกับตก) ก็จะได้ไม่เสียใจ ร้องไห้ฟูมฟาย เพราะอย่างน้อย เราผ่านจุดที่เรียกว่าสอบตกมาแล้ว คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้ ซึ่งหลายๆ คนที่ไม่เคยสอบตก ส่วนมากก็จะร้องไห้งอแง กินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ เพียงเพราะคะแนนได้ไม่เท่าของเดิม!!

5.ไม่ต้องกดดันเพราะความคาดหวังของตัวเอง พี่มิ้นท์ เชื่อว่า ความหวังและความฝันของคนที่สอบตก ก็แค่ขอให้สอบผ่าน(ซักที) ซึ่งต่างจากคนที่สอบผ่าน ได้คะแนนดีแล้วดีอีก คนกลุ่มนี้มักจะหวังไปเรื่อยๆ ว่าจะต้องคะแนนดีกว่าเก่า พอทำไม่ได้ก็จะเสียใจคนเดียวซะงั้นอะ

6.ได้มีโอกาสทบทวนเนื้อหาอีกรอบ ความผิดพลาดจะทำให้รู้ว่าเราควรให้ความสำคัญที่จุดไหน เราก็จะทบทวนสิ่งนั้นมากขึ้น ส่งผลให้เข้าใจเนื้อหามากขึ้น ส่วนคนที่สอบผ่าน ก็ผ่านแล้วผ่านเลย ไม่คิดที่จะกลับมาอ่านอีกรอบหรอกค่ะ ดังนั้น ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เดียว ที่จะได้ความรู้มากกว่าคนอื่น เพราะได้อ่านทบทวนหลายรอบ แม้จะเป็นความจำเป็นก็ตาม

8 นิสัยไม่ได้เรื่อง!!! สกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์


นิสัยที่สกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์


1. ไม่ช่างสังเกต ความช่างสังเกตนี่เป็นพื้นฐานของคนฉลาด เพราะความช่างสังเกตจะทำให้เกิดการสงสัย การสงสัยนำไปซึ่งการหาคำตอบ แล้วการได้คำตอบก็เท่ากับเราได้สร้างความรู้ใหม่ให้แก่สมองเรา แต่ถ้าเราไม่เริ่มสังเกตอะไรเลย ปล่อยให้ชีวิตอยู่กับสิ่งเดิมๆ ไม่ใช่แต่สมองที่ไม่ได้พัฒนา และไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์นะ แม้แต่ชีวิตเราก็จะเกิดอุบัติเหตุเพราะความประมาทอันไม่ช่างสังเกตได้ เช่น การเดินไปโรงเรียนทุกวันบนทางเท้าประจำจนชิน แต่เมื่อคืนที่ผ่านมามีการปรับปรุงทางเท้านี้โดยที่เราไม่รู้ มีเทปูนไว้ ปูนก็ยังไม่แห้ง มีป้ายเตือนติดไว้ แต่บังเอิญป้ายปลิวหายไป ด้วยความที่เราเดินทุกๆ วัน เราก็ไม่สังเกตความผิดปกติอะไรของพื้นทางเท้านั้น สุดท้ายเราก็เดินตกลงไปในปูนที่ยังไม่แห้ง ตัวอย่างนี้มีจริงนะเออ!! เพราะฉะนั้น มาเป็นคนช่างสังเกตดีกว่า เริ่มจากสิ่งรอบตัวนี่แหละ คำเตือน อย่าวางใจกับเส้นทางที่คุณเดินทางประจำ ฮา


2. เห็นพ้องไปกับคนอื่นๆ ทั้งที่ไม่เห็นด้วย คนที่ไม่กล้าปฎิเสธ หรือทำตามความคิดเห็นของตนเอง แม้จะคิดว่ามันดีกว่าก็ตาม ทำให้ตัวเองไม่มีความสุขได้นะ เคยไหมที่โมโหตัวเอง เพราะมัวแต่ไปเชื่อคนอื่น เพราะ ต่อให้เรามีความคิดดีๆ แต่ไม่กล้าบอกความคิดเขา กลัวผิด ยอมที่จะเห็นพ้องไปกับคนอื่นทุกเรื่อง เป็นการสั่งสมให้เรากลายเป็นคนที่ไม่สามารถมีความสุขของชีวิต ด้วยไม่เคยพบกับความสำเร็จที่เกิดจากความคิดตนเองเลยได้ แต่การเห็นต่างก็ต้องมีเหตุและผลนะคะ ถ้าเป็นการเห็นต่างเพราะไม่ชอบ ไม่ถูกชะตาเฉยๆ แบบนี้ก็สกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์ในแง่การไม่ยอมรับความคิดของผู้อื่นเหมือนกัน



3. คิดไปก่อนแล้วว่า “เป็นไปไม่ได้ มันทำไม่ได้” จริงๆ แล้วชีวิตคนเราขึ้นอยู่กับตัวเราเองนะ อย่างเวลาที่เราตัดสินใจอะไรสักอย่าง ถ้าเราเลือกที่จะทำตามคนอื่น แต่ในบางเวลาหรือต้องเผชิญสิ่งใหม่...หลายครั้งเรากลับคิดแต่ว่า ทำไม่สำเร็จ เป็นไปไม่ได้ ทำไปก็เท่านั้น ฯลฯ แล้วก็เลือกที่จะไม่ทำ สุดท้ายเราก็จะไม่มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมาในชีวิตเลย สมองทำงานอยู่กับความคิดคำนึงของตัวเรานะ ถ้าเราคิดว่าทำไม่ได้บ่อยๆ เข้า สมองจะรับข้อมูลนั้นและเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก ทำให้เราไม่สามารถสลัดความเป็นไปไม่ได้นั้นออกไปได้ เราเลยเชื่อว่า ตัวเองทำไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่างไงล่ะ


4. ทำอะไรซ้ำๆ สิ่งจำเจเป็นอาการดื้อยาของสมอง เจอบ่อยๆ ยาก็ไม่ออกฤทธิ์ ไม่ออกประโยชน์ การทำอะไรซ้ำๆ เลยเป็นสิ่งสกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ลองทำสิ่งใหม่ให้สมองได้เรียนรู้บ้างดีกว่า อย่ามัวแต่กินอาหารเมนูเดิม เปลี่ยนบ้างสิ อิอิ ถ้าตอนนี้ยังทำให้เห็นเป็นพฤติกรรมไม่ได้ แค่คิดอะไรใหม่ก็ยังดี จินตนาการใช้ได้จริงนะ!!






5. ไม่ชอบแสดงความคิดเห็น มาพร้อมกับการเห็นพ้องไปกับคนอื่นๆ ทั้งที่ไม่เห็นด้วย หรือบางทียิ่งแย่ไปกว่านั้นเพราะ แทบที่จะไม่ได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ เช่น ในการประชุมกลุ่มรายงาน คิดว่าให้เพื่อนเก่งๆ เขาทำๆ ไป เดี่ยวเราค่อยช่วยออกแรงพิมพ์รายงานก็พอ ตอนนี้แหละที่อีกหนึ่งความคิดเห็นดีๆ หายไป งานกลุ่มควรเป็นงานที่ทุกคนในกลุ่มช่วยกันออกความคิดเห็นและร่วมกันทำ แต่มีไม่น้อยเลย ที่งานกลุ่ม คือ ความคิดเห็นของผู้นำกลุ่มหรือเพื่อนที่เรียนเก่งที่สุดเพียงคนเดียว แบบนี้คนที่เก่งก็ได้คิดและเก่งอยู่คนเดียวน่ะสิ การที่เราไม่ออกความคิดเห็น ทำให้สมองไม่ได้เกิดการทำงาน ไม่มีการแก้ไขปัญหา ไม่มีการเชื่อมโยงความคิดเห็นและแสดงออกมาเป็นคำพูด เท่ากับสมองไม่ได้พัฒนาในเวลาที่มีโอกาสนั่นเอง









6. ไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น คนที่กล้าแสดงความคิดเห็นของตนเอง และใช้ความคิดของตนเองเป็นใหญ่ก็เป็นอีกอุปนิสัยที่สกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์ เพราะ ความคิดเห็นของคนๆ เดียว อาจผิดพลาด หรือไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็ได้ แม้จะมาจากคนที่เราเห็นว่าเก่งที่สุดก็ตาม และยิ่งเป็นคนที่ไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นแล้ว จะทำให้ตนเองกลายเป็นคนน่ารังเกียจ ที่ไม่มีใครอยากทำงานร่วมด้วยอีกต่างหาก การรับความคิดเห็นที่แตกต่างเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเราตั้งใจคิดตามทุกความคิดเห็นของคนอื่นด้วย เราจะเห็นว่าแต่ละคนมีมุมมองที่มาจากประสบการณ์ที่แตกต่างกัน เมื่อมุมมองเหล่านั้นมารวมกัน จะทำให้เกิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้


7. ยึดติดกับความรู้เดิมๆ หรือประสบการณ์เดิมๆ คนที่อ่านหนังสือมาก คนที่เรียนเก่ง มักคิดว่าความรู้ที่มีเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องหาความรู้เพิ่ม คนที่คิดแบบนี้กำลังขังตนเองอยู่ในกรอบ ทำตัวเป็นกบในกะลา และยังคิดอีกว่าเป็นกะลาที่ดีที่สุดในโลก ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว โลกนี้กว้างใหญ่ และยังมีปริศนามากมายที่ไขไม่ออก แปลว่า ยังมีความรู้อีกมากที่เรายังไม่รู้ อย่าให้ใครมาบอกว่าเราเป็นกบในกะลาได้


8. อยากรู้หรือสงสัยแต่ไม่ถาม บางทีน้องๆ อาจเป็นคนช่างสังเกตอยู่แล้ว อาจเป็นคนคิดเก่ง และมีคำถามอยู่เสมอ แต่ถึงแม้จะมีอุปนิสัยพื้นฐานของคนฉลาดอยู่แล้ว แต่กลับไม่มีความกล้าที่จะถาม เลยทำให้พลาดความรู้ดีๆ หรือโอกาสที่ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวได้ บางที่น้องๆ ที่มีคำถามอาจไปหาคำตอบจากหนังสือ หรืออินเทอร์เน็ตก็ได้ แต่ในชั้นเรียนกลับไม่กล้าถามครู บางทีไปหลงทางที่ไหน ก็กลับไม่กล้าถามทาง หรือลืมที่จะหาคำตอบของปัญหานั้นๆ ไปอีก อย่าลืมว่าบางทีความคิด หรือจุดเริ่มต้นดีๆ ก็มาแบบแป๊บๆ แล้วก็เลือนไปจากสมองได้ ทำไมเราไม่หาคำตอบทันทีที่สงสัยเลยล่ะ ถ้าปิ๊งแล้วต้องปุ๊บปั๊บลงมือทำลงมือคิดด้วยนะ

LD หนึ่งในโรคสมองที่อาจทำให้หลายคนดูโง่!!


มีความผิดปกติทางสมองของโรคแบบหนึ่งที่ทำให้ผู้เป็น เกิดปัญหาการเรียนรู้ อย่าง อ่านติดๆ ขัดๆ เขียนตัวอักษรกลับข้าง แต่ไม่ได้มีระดับสติปัญญาต่ำผิดปกตินะคะ คือ บางคนเรียนรู้เรื่องถ้าให้ฟังอย่างเดียว จำได้ ตอบคำถามไว้ แต่ถ้าให้อ่านปั๊บ กลับจะอ่านไม่ออกขึ้นเสียอย่างนั้น หรืออาจพูดเก่งมาก แต่พอให้เขียนกลับติดขัด เขียนออกมาเป็นประโยคไม่ได้เลย ซึ่งอาจเป็นปัญหาของใครหลายๆ คนด้วย โดยเฉพาะกลุ่มน้องๆ และคนที่ยังเรียนหนังสืออยู่ เพราะเจ้าปัญหาทางสมองนี้ทำให้เด็กๆ หลายคนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง เรียนตก เรียนไม่เก่ง จนถึงขั้นถูกตราหน้าว่าปัญญาอ่อนเลย ซึ่งจริงๆ แล้วที่เรียนไม่เก่ง อาจเป็นเพราะความผิดปกติของสมองนี้ก็ได้ค่ะ เจ้าปัญหานี้ เรียกว่า ภาวะความบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือ Learning Disabilities คือ มีความผิดปกติของสมองที่ทำให้เกิดการรับรู้ผิดเพี้ยนค่ะ ทำให้เกิดความยากลำบากในการเรียน จะเขียนก็สับสน จะอ่านก็เหมือนมองตัวอักษรไม่ออก มีหลายอาการ บางคนคิดเลขคำนวณไม่ได้เสียเลยก็มี

ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ LD นี้ เกิดได้จากหลายสาเหตุ หรือบางครั้งก็วินิจฉัยหาสาเหตุไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ที่พบกันอาจมาจากสาเหตุได้ดังนี้ค่ะ
- กรรมพันธุ์
- คลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักแรกคลอดน้อย
- เคยได้รับการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยบางอย่าง เช่น เกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บที่หัวอย่างรุนแรง ติดเชื้อในระบบประสาท อย่าง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือโดนพิษสารตะกั่ว เป็นต้น

ลักษณะของคนที่มีภาวะ LD แตกต่างกันและหลากหลาย อาจสังเกตได้จากพฤติกรรมบางอย่าง อาทิ ดูฉลาด แต่ผลการเรียนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ตั้งใจฟังคำสั่งอย่างดี แต่ทำตามคำสั่งที่ได้รับไม่ถูกต้อง ดูเหมือนคนเข้าใจอะไรยาก มีปัญหาการอ่าน สะกดคำไม่ได้ เขียนตัวอักษรผิดเพี้ยน มองตัวอักษรบางตัวไม่ออกอย่าง ค สับสน ด เครื่องหมาย + สับสนกับ x เก่งหลายวิชา แต่มีบางวิชาเรียนไม่รู้เรื่องเลย เขียนตัวอักษรไม่รู้เรื่อง เรียงประโยคผิดๆ แต่ปัญหาที่พบกว่า 80 เปอร์เซ็นของคนที่เป็น LD จะมีปัญหาด้านการอ่าน แต่ก็พอจะจำแนกความบกพร่องที่พบกัน ได้ดังนี้ค่ะ


คนที่เป็น LD อาจมีปัญหาเพียงด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายๆ ด้านผสมกันก็ได้ ซึ่งปัญหาทั้งหมดมักทำให้ คนที่เป็นLDไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมเรียนไม่รู้เรื่องทั้งที่ตั้งใจเต็มที่ มักมีผลการเรียนไม่ดี เพราะวฺิธีการเรียนการสอบล้วนให้การอ่าน ฟัง พูดทั้งสอน หากมีปัญหาด้านใดด้านหนึ่งก็ทำให้เรียนไม่รู้เรื่องได้เลยล่ะค่ะ แต่ปัญหาดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับระดับสติปัญญานะคะ หากคนที่เป็น LD ได้ทดสอบ IQ ก็จะพบว่าระดับสติปัญญาปกติหรือสูงไปเลยก็ได้


การรักษาภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้นี้ ต้องใช้การรักษาและดูแลหลายรูปแบบ ทั้งกินยา การพัฒนาทักษะที่บกพร่องอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือการเข้าใจของพ่อแม่ ครู และตัวน้องที่เป็นเอง

ประโยชน์ของเกรปฟรุต ;]


ประโยชน์ของเกรปฟรุต (lisa)

ผลไม้หน้าตาคล้ายส้มโอของบ้านเรานี้มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด ลองอ่านรายละเอียดของเรานี่ซะ

บำรุงผิว : อาหารที่คุณกินมีส่วนบำรุงผิวได้โดยตรง แล้ววิตามินซีที่อยู่ในน้ำเกรปฟรุตคั้นสด ๆ นั้น สามารถช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ที่ช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่งและอ่อนเยาว์

ทำให้ยิ้มสวย : เหงือกที่สุขภาพดีและรอยยิ้มที่แสนสวยนั้นมักจะไปด้วยกันเสมอ และประโยชน์ก็คล้ายกับข้อแรกนั่นแหละ วิตามินซีในเกรปฟรุตจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในเหงือกของคุณด้วย

ช่วยให้เท้าหอม : ด้วยการผสมเกลือทะเลครึ่งถ้วยเข้ากับขิงสดขูดให้ได้ 1 ช้อนโต๊ะ เนื้อเกรฟฟรุ้ต 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันงาหรือน้ำมันอัลมอนด์ 1 ถ้วย จากนั้นก็นำไปขัดเท้าตามปกติ ถ้าใช้ไม่หมดก็เก็บไว้ในตู้เย็นได้ถึง 3 สัปดาห์

เคล็ด (ไม่) ลับ ผิวใสจากน้ำผึ้งและมะนาว !!


เคล็ด (ไม่) ลับ ผิวใสจากน้ำผึ้งและมะนาว (Woman's Story)

สาว ๆ คนไหนที่กำลังกังวลกับผิวที่เคยใส แต่กลับกลายดูหม่นหมอง หมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูนะคะ..

โดยเตรียมส่วนผสมคือ น้ำมะนาว 1 แก้ว และน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา

นำส่วนผสมทั้ง 2 อย่างที่เตรียมไว้มาเทรวมกัน คนให้เข้ากัน พักไว้ก่อน หันมาทำความสะอาดร่างกาย เช็ดตัวให้แห้ง

จากนั้นนำส่วนผสมที่เตรียมไว้มาชโลมให้ทั่วร่างกาย นวดคลึงที่ส่วนต่าง ๆ เบา ๆ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วอบน้ำชำระผิวกายอีกครั้งหนึ่ง เป็นอันเสร็จขั้นตอน

ทำเป็นประจำอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ผิวกายของคุณจะเปล่งปลั่ง ดูมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัดค่ะ

เคี้ยวมากกว่า 40 ที ช่วยลดน้ำหนักได้!


เคี้ยวข้าวมากกว่า 40 ที ช่วยลดน้ำหนักได้ (ไทยโพสต์)

นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า การเคี้ยวอาหารนานขึ้นช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะจะช่วยลดจำนวนแคลอรีที่ร่างกายได้รับจากการบริโภค

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ฮาร์บินของจีน พบว่า อาสาสมัครที่เคี้ยวอาหาร 40 ครั้งจะได้รับปริมาณอาหารน้อยลง 12% เมื่อเทียบกับการเคี้ยวอาหารโดยปกติ 15 ครั้ง เนื่องจากการเคี้ยวอาหารนานขึ้น ช่วยให้สมองมีเวลามากขึ้นในการรับสัญญาณระดับอาหารของกระเพาะ นอกจากนี้ การเคี้ยวอาหารนานขึ้นยังช่วยลดระดับฮอร์โมนเกรลิน ที่ทำหน้าที่สร้างความรู้สึก "หิว" ในระบบทางเดินอาหาร

โดยการทดลองครั้งนี้ นักวิจัยได้ทำการเกณฑ์อาสาสมัครวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปีที่มีรูปร่างผอม 16 คน และรูปร่างอ้วนอีก 14 คน แล้วแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเพื่อทำการทดลอง 2 ครั้ง โดยการทดลองครั้งแรกเป็นไปเพื่อสังเกตว่า คนที่มีรูปร่างอ้วนมีพฤติกรรมการเคี้ยวอาหารแตกต่างจากผู้ที่มีรูปร่างผอมหรือไม่ ซึ่งผู้ทดลองได้ให้อาสาสมัครทั้งกลุ่มคนอ้วนและผอมรับประทานพายหมู และมีกล้องที่ถูกซ่อนไว้บันทึกจำนวนการเคี้ยวก่อนกลืนอาหาร ซึ่งผลการวิจัยพบว่า แม้คนอ้วนจะเคี้ยวอาหารด้วยความเร็วเท่ากับคนผอม แต่คนอ้วนกลืนอาหารเร็วกว่ามาก

ส่วนการวิจัยครั้งที่ 2 กำหนดให้อาสาสมัครทั้งสองกลุ่ม เคี้ยวพายหมูจำนวน 15 ครั้งก่อนกลืน แล้วเปรียบเทียบกับการเคี้ยวพายหมู 40 ครั้งก่อนกลืนอาหาร ซึ่งนักวิจัยพบว่าอาสาสมัครทั้งสองกลุ่มได้รับแคลอรีน้อยลง 11.9% เมื่อเคี้ยวอาหาร 40 ครั้ง ส่วนผลการตรวจเลือด 90 นาทีหลังทานอาหารพบว่า อาสาสมัครทุกคนมีระดับฮอร์โมนเกรลินในร่างกายเมื่อเคี้ยวอาหาร 40 ครั้ง น้อยกว่าเมื่อเคี้ยวอาหาร 15 ครั้ง

นักวิจัยระบุในข้อค้นพบที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร "American Journal of Clinical Nutrition" ว่า การกินช้าลงเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักได้ นอกจากนี้ การกินเร็ว กินทีละมาก ๆ หรือดื่มหนักต่างมีผลช่วยให้น้ำหนักเกินได้ ซึ่งงานวิจัยชี้ว่า อาสาสมัครที่มีน้ำหนักมากมักเคี้ยวอาหารน้อยครั้งกว่า และกลืนอาหารเร็วกว่าคนที่มีรูปร่างผอม

ขณะที่ผลสำรวจชาวอังกฤษ 1,000 คน โดยธุรกิจร้านแซนด์วิช "ซับเวย์" พบว่า คนอังกฤษโดยเฉลี่ยเคี้ยวอาหารเพียง 6 ครั้งเท่านั้นแล้วกลืนอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 25-34 เป็นกลุ่มที่ทานเร็วที่สุด และยังพบอีกว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 15% มักทานอาหารขณะเดิน และมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่นั่งทานอาหารบนโต๊ะเป็นประจำ

แคเธอรีน คอลลีนส์ หัวหน้าแพทย์แผนกการรับประทานอาหารประจำโรงพยาบาลเซนต์ จอร์จ กรุงลอนดอน กล่าวว่า นอกจากการกินช้าจะมีผลต่อฮอร์โมนทางเดินทางอาหารแล้ว ยังมีผลต่อสุขภาพจิตด้วยเช่นกัน โดยเธอกล่าวว่า เวลาเราทานอาหารเรามักไม่รู้ตัวว่าเราทานไปจำนวนมากแค่ไหน แต่การเคี้ยวอาหารนานขึ้นช่วยให้เราสามารถรับรู้รสชาติ กลิ่น และเนื้ออาหารได้ดีขึ้น ซึ่งทำให้เรารับรู้ว่าเรากำลังทานอะไร และทานเข้าไปมากแค่ไหน

"ผลที่ได้ก็คือ เราไม่รู้สึกหิวง่าย ๆ แม้เพิ่งทานอาหารไปแค่สิบนาที"

หยุด! เสียงลึกลับดังวี้ด...ในหู


วี้ด...ด เสียงแหลมสูงยืดยาวดังอยู่ในหูแบบนี้ คงเคยได้กินกันบ้างใช่มั้ยคะ ถึงไม่ได้สนใจอะไรนักเพราะแป๊บเดียวก็หายไป แต่ก็คงสงสัยบ้างว่า เจ้าเสียงลึกลับแกมน่ารำคาญนี่มาจากไหน และเกิดจากอะไร

โดยเสียงกวนใจนี้มาจากความเพี้ยนของประสาทหูที่เกิดจากการแก่ตัวลง หรือได้ยินเสียงดังมากเกินเหตุอย่างเสียงเครื่องยนต์เรือด่วน หรือเสียงสว่านเจาะผิวถนนนี่เอง คุณหมอบอกว่า ปกติก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร แต่อาจรำคาญบ้าง

งานนี้ คุณหมอยังแนะนำอีกว่า หากต้องการหยุดเสียงแหลม ๆ แบบนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก ควรจะปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้

พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ

ลด ละ เลิก จากคาเฟอีน และนิโคติน (เช่น กาแฟและบุหรี่)

กินเกลือน้อย ๆ หน่อย

ออกกำลังกายเป็นประจำ

ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย อาจฝึกสมาธิบ้างก็จะดี


แต่ถ้าเจ้าเสียงนี้ยังตามรบกวนจนเสียเส้น ก็ต้องคุยกับคุณหมอหน่อยล่ะค่ะ

โรคย้ำคิดย้ำทำ


ทุกท่านคงเคยได้ยินคำว่า "ย้ำคิดย้ำทำ" และรู้สึกเหมือนกับเข้าใจ แต่บางครั้งเวลามีใครมาถามว่าย้ำคิดย้ำทำนี่มันเป็นอย่างไรเรากลับตอบไม่ถูก

การหมกมุ่นครุ่นคิดกังวลกับเรื่องบางเรื่องนั้น ใช่ย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่า คำตอบคือ ไม่ใช่ ครับ

การฝันกลางวัน ฝันอยากถูกรางวัลที่ 1 สักงวดจะได้ซื้อของที่อยากได้นั้นใช่ย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่า ก็ ไม่ใช่ อีกแหละครับ

อาการย้ำคิด นั้นคือ ความคิดที่ผุดเข้ามาในสมองของเราโดยไม่ตั้งใจ และทำให้เกิดความกลัวหรือความกังวล

อาการย้ำทำ คือ การกระทำหรือการคิดเพื่อลดความกลัว หรือความกังวลที่เกิดจากอาการย้ำคิด

อาการย้ำคิดย้ำทำนั้นบางครั้งก็อาจเกิดขึ้นได้ในคนปกติ เช่น บางครั้งเราเพิ่งปิดไฟไปหยก ๆ แต่อยู่ ๆ ก็มีความคิดผุดขึ้นมาในสมองว่า เอ...ตะกี้นี้ปิดไฟเรียบร้อยหรือเปล่า สวิทซ์อาจค้างปิดครึ่ง ๆ กลาง ๆ เดี๋ยวไฟจะชอร์ทนะต้องมากดสวิทซ์ซ้ำอีก 1 หรือ 2 ทีเพื่อลดความกังวลที่เกิดขึ้นจึงจะ "ผ่าน" แบบนี้ใช่ครับ เป็น อาการ ย้ำคิดย้ำทำ แต่ถ้าบางทีเป็นบางทีไม่เป็นหรือนานๆ จะเป็นสักครั้งหนึ่งแบบนี้ก็ยัง ไม่ถือว่าป่วยเป็น โรคย้ำคิดย้ำทำ ครับ

เราจะถือว่าป่วยเป็น โรคย้ำคิดย้ำทำ เมื่ออาการย้ำคิดย้ำทำนั้นเป็นมาก จนทำให้เกิดปัญหาหนึ่งใน 3 อย่างต่อไปนี้ครับ

1. อาการเป็นมากเลิกคิดเลิกทำไม่ได้จนทำให้รู้สึกเป็นทุกข์ทรมานมาก

2. อาการเป็นมากจนทำให้เสียงานเสียการ เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำ หรือต้องคอยหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะมากระตุ้นให้เกิดอาการย้ำคิด

3. อาการต่าง ๆ ทำให้ต้องทำอะไรที่อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น ต้องกินเหล้ากินเบียร์เพื่อลดความเครียด โกรธและทำร้ายตัวเอง หรือบางรายเกิดอาการซึมเศร้าอยากตายหรือพยายามฆ่าตัวตายก็มี

คนที่เป็น โรคย้ำคิดย้ำทำ ไม่ใช่คนบ้า

คนที่เป็น โรคย้ำคิดย้ำทำ นั้นยังรู้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง ผู้ป่วยรู้ว่าสิ่งที่ตนกลัวนั้นไร้สาระ แต่หยุดการย้ำคิดและอดที่จะกลัวไม่ได้ และไม่กล้าฝืนที่จะไม่ย้ำทำ

โรคย้ำคิดย้ำทำ เป็นโรคที่รักษาได้

ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดของ โรคย้ำคิดย้ำทำ แต่เราก็มีวิธีรักษาโรคนี้อย่างได้ผล

การรักษา โรคย้ำคิดย้ำทำ ในปัจจุบันมี 2 วิธี คือ

1. พฤติกรรมบำบัด
2. ใช้ยา

พฤติกรรมบำบัด

การรักษา โรคย้ำคิดย้ำทำ ด้วยพฤติกรรมบำบัดนั้นอาศัยหลักที่ว่า เมื่อเราพบกับสิ่งที่เรากลัว และเกิดความกลัวขึ้นแล้วเรารีบหนีความกลัวก็จะหายไปพักหนึ่ง แต่เมื่อเราพบกับสิ่งนั้นอีกเราก็จะอยากหนีอีก แต่ถ้าเราเข้าหาและเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรากลัวเป็นเวลานานๆ (exposure) เมื่อเวลาผ่านไปความกลัวที่เกิดขึ้นจะค่อย ๆ ลดลงเอง เพราะเราจะเกิดความชินชาขึ้น (habituation หรือ desensitization) เช่น ให้ผู้ป่วย โรคย้ำคิดย้ำทำ ที่กลัวปิดน้ำไม่สนิทจงใจเปิดน้ำให้หยดแหมะ ๆ ทิ้งไว้แล้วออกไปทำงานเลย ผู้ป่วยจะเกิดความกังวลตะหงิด ๆ อยากกลับไปปิดน้ำอยู่พักใหญ่ๆ แล้วความกังวลจะค่อย ๆ ลดลงจนลืมไปเอง ตอนเย็นกลับบ้านมาค่อยไปปิด ถ้าทำทุกวัน ๆ จะใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยก็จะเลิกกลัวการปิดน้ำไม่สนิทได้ หลักในการปฏิบัติมีอยู่ 3 ข้อ คือ

1. ค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากสิ่งที่ผู้ป่วยกลัวไม่มากนักก่อน เพื่อให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้ว่าวิธีรักษาแบบนี้ได้ผลจริง แล้วค่อยฝึกกับเรื่องที่ผู้ป่วยกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

2. ให้เวลาให้นานพอ ควรให้เวลาฝึกแต่ละครั้งประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้มีเวลานานพอที่จะเกิดความชินชาขึ้น

3. ทำซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องเช่นทุกวันหรืออย่างน้อยวันเว้นวันจนกว่าจะหาย

นอกจากการฝึกโดยการเข้าหาและเผชิญหน้ากับสิ่งที่ผู้ป่วยกลัวแล้ว ผู้ป่วยยังจะต้องงดเว้นการย้ำทำในขณะฝึกด้วย (response prevention) เช่น เมื่อให้ผู้ป่วยฝึกโดยการปิดเตาแก๊ส โดยไม่ต้องปิดถังแก๊สในช่วงกลางวัน ระหว่างฝึกผู้ป่วยจะต้องไม่มาคอยตรวจตราห้องครัว และต้องไม่คอยถามคนใกล้ชิดเช่น “แก๊สคงไม่รั่วใช่ไหม” เพื่อให้เขาตอบว่า “ ม่รั่วหรอก” ในกรณีนี้ถ้าผู้ป่วย “เผลอถาม” ให้คนใกล้ชิดตอบว่า “หมอไม่ให้ตอบ” เพื่อให้ผู้ป่วยต้องฝึกที่จะทนกับความกังวลที่เกิดขึ้น จนเกิดความชินชาขึ้นในที่สุด

การรักษาโดยการใช้พฤติกรรมบำบัดนั้นไม่ค่อยสนุกเท่าไร เพราะผู้ป่วยต้องทนทำสิ่งที่ตนกลัว แต่ถ้าผู้ป่วยยอมร่วมมือการรักษามักได้ผลดี อาการต่างๆจะหายได้อย่างรวดเร็วและหายได้อย่างค่อนข้างถาวร ที่สำคัญคือ ต้องลงมือทำจริงๆและให้เวลากับการฝึกแต่ละครั้งนานพอ

การใช้ยา

ยาที่ใช้รักษา โรคย้ำคิดย้ำทำ ได้ผล คือ ยาในกลุ่มยาแก้โรคซึมเศร้า ชนิดที่ออกฤทธิ์กับสารสื่อนำประสาทในสมองที่เรียกว่า ซีโรโทนิน (serotonin)

ในการรักษา โรคย้ำคิดย้ำทำ ต้องใช้ยาในขนาดค่อนข้างสูงและใช้เวลารักษานาน โดยทั่วไปถ้าจะรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว จะต้องให้ผู้ป่วยรับประทานยาอยู่นานประมาณ 1-2 ปี แต่การรักษาด้วยยาก็มีข้อดีคือ สะดวกกว่าการฝึก ในบางรายที่มีอาการมาก ๆ และไม่กล้าฝึกแพทย์อาจให้การรักษาด้วยยาไปก่อน เมื่ออาการย้ำคิดย้ำทำน้อยลง และผู้ป่วยพร้อมที่จะฝึกค่อยให้ผู้ป่วยเริ่มฝึกก็ได้

จะเกิดอะไรขึ้น...เมื่อคุณอดนอน!!!





ถ้าช่วงนี้มีเพื่อนตัวดีของคุณมาทักคุณว่า "ช่วงนี้หน้าแก่จังนะ อ้วนขึ้นด้วย แถมยังขี้ลืมบ่อยอีกต่างหาก" ก็อย่าเพิ่งโมโหโกรธาเพื่อนตัวดีไปใยนะจ๊ะ ต้องขอบคุณเขาเสียอีกที่ทำให้เรารู้ว่า กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีขึ้นในตัวเรา ซึ่งก็อาจเกิดจากพฤติกรรมบางอย่างที่เราทำกันจนเป็นนิสัยโดยไม่รู้ตัว

อย่างเช่น ใครก็ตามที่ชอบปั่นการบ้านในคืนสุดท้ายก่อนเส้นตายส่งพรุ่งนี้ หรือพวกติดเกมส์ ที่แบบว่าคืนนี้ไม่ผ่านด่านนั้นก็ไม่มีทางวางเมาส์เสียหรอก รวมถึงพวกชอบแชท คุยเพลิน คุยมันส์ หันไปมองนาฬิกาอีกที ตีห้าแล้วหรือนี่ ต้องลุกไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานต่อจน "อดนอน" นี่แหละจ้า...สาเหตุที่ทำให้คุณมีอาการดังที่กล่าวมา

แต่เอ...ดูเหมือนว่าหลายคนยังทำหน้าสงสัยว่า "อดนอน" หรือ "นอนดึก" แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ "หน้าแก่" และ "ความอ้วน" กันล่ะ เอ้า...ถ้าไม่เชื่อลองมาอ่านภาพการ์ตูนน่ารัก ๆ ของ คุณ monman กันดูซะ จะได้เข้าใจว่า "การอดนอน" ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพเลยล่ะ ว่าแต่...ใครที่ชอบ "อดนอน" มาคอนเฟิร์มซิว่า มีอาการแบบที่ คุณ monman บอกไว้หรือเปล่า...

บำบัดโรคพาร์กินสันด้วยการฝังเข็ม

บำบัดพาร์กินสันด้วยการฝังเข็ม (ไทยโพสต์)

โรคพาร์กินสัน เป็นโรคทางระบบประสาทที่พบได้บ่อย มักจะพบมากในผู้สูงอายุ วัย 50-60 ปีขึ้นไป เกิดจากการเสียสมดุลของสารโดปามีนในสมอง โดยเซลล์สมองส่วนที่สร้างโดปามีนถูกทำลายไปมากกว่าร้อยละ 80

ดร.คิงส์ตัน ซี ฮาว อุย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็ม กล่าวว่า โดปามีนเป็นสารเคมีในสมอง ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย หากขาดโดปามีนในสมองจะทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายผิดปกติ อาการของโรคพาร์กินสันจะทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทเด่นชัด คือ อาการสั่น โดยอาการสั่นมักเกิดขณะที่อยู่เฉย ๆ และจะสั่นมากเวลาอยู่นิ่ง ๆ เกิดกับมือข้างใดข้างหนึ่ง อาการเกร็ง มักมีอาการแข็งตึงของแขนขาและลำตัว ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก และอาการเคลื่อนช้า ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ยืน นั่ง หรือเคลื่อนไหวร่างกายก็ช้าลงไปจากเดิม ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวเหมือนเช่นเคย สังเกตได้ว่าแขนไม่แกว่งและแขนขาไม่มีแรง

ในศาสตร์ของแพทย์แผนจีนให้ชื่อโรคนี้ว่า "อาการเกร็ง" อันเกิดจากความพร่องของไตและหยินของตับ ร่วมกับการเกิดลมภายใน ทำให้เกิดอาการสั่นและเกร็ง หรือเกิดจากการดื่มสุราและรับประทานยาที่ไปทำลายตับ รวมทั้งผู้ที่มีภาวะเสมหะและเลือดอุดกั้นในเส้นลมปราณ ถ้าเป็นที่ไตก็จะมีแยกออกมาเป็น หยินพร่อง หยางพร่อง หรือเป็นหยินหยางพร่อง การสังเกตอาการคนที่หยินพร่องคือ นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท สำหรับคนที่หยางพร่อง คือ มือเท้าเย็น เท้าไม่มีแรง

ดร.คิงส์ตัน กล่าวถึงการรักษาแบบแพทย์แผนจีนด้วยการฝังเข็มว่า ในการรักษาโรคพาร์กินสันด้วยการฝังเข็มนั้นเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง ถ้าเริ่มเป็นโอกาสที่จะควบคุมอาการไม่ให้ขยายตัวเร็วก็ยิ่งมีมาก ในการรักษาจะเริ่มจากการบำรุงไตและตับ โดยจะเน้นไปที่การบำรุงส่วนที่เป็นหยิน กำจัดเสมหะที่สะสมอยู่ภายใน สลายการคั่งของเลือดและสงบลมภายใน และการรักษาด้วยการฝังเข็มนั้นจะช่วยกระตุ้นและปรับระบบหยินหยางให้ดียิ่งขึ้น จุดที่ฝังเข็มส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณที่ศีรษะ เท้า หลังและคอ นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรจีนเพื่อช่วยในการรักษา และช่วยให้ร่างกายปรับสภาพสมดุลทำให้หยินหยางดีขึ้นอีกด้วย

ผลการรักษาด้วยวิธีการฝังเข็มและรับประทานยาสมุนไพรควบคู่กันไป จะใช้ระยะเวลาการรักษาประมาณ 3-6 เดือน ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น อาการสั่นลดลง และช่วยเหลือตนเองได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดและไขมันสูง ควรรับประทานอาหารที่ช่วยทำให้การขับถ่ายดีขึ้น รวมทั้งควรการออกกำลังกายและการทำกายภาพบำบัด เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ฝึกการทรงตัวโดยการฝึกพลังชี่กงเพื่อปรับหยินหยางให้สมดุล สิ่งเหล่านี้ยิ่งจะช่วยทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย แข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


จาก : http://health.kapook.com/view30685.html

รู้มั้ย การแกล้งยิ้มนั้นทำให้เกิดความทุกข์?

เจอใครใบหน้ายิ้มแย้มอย่าเพิ่งไปทึกทักเอาว่าเขากำลังอารมณ์ดีเชียว คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอาจมีอารมณ์จริง ๆ ตรงข้ามกับที่แสดงออกก็ได้

เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เมืองผู้ดี เดอะ เทเลกราฟ เผยผลการวิจัยจากวารสารภาคการบริหารจัดการ มหาวิทยาลัยมิชิแกนฉบับเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อทีมนักวิจับค้นพบว่า การแสร้งยิ้มหรือแสร้งทำเป็นมีความสุขกลับให้ทุกข์ยิ่งกว่า และส่งผลต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ด็อกเตอร์ เบร็น สก็อต นักจิตวิทยาและผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาคการบริหารจัดการ มหาวิทยาลัยมิชิแกน ผู้นำทีมศึกษาเรื่องดังกล่าว กล่าวว่า การปั้นยิ้มเพื่อใช้ประโยชน์จากใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้นส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้า และตึงเครียดทางอารมณ์ รวมทั้งติงถึงบรรดาเจ้านายหรือผู้บริหารทั้งหลายควรใส่ใจกับเรื่องนี้ให้มาก เนื่องจากการปลูกฝังให้ลูกน้องพนักงานแสร้งปั้นยิ้มเมื่อไปพบลูกค้า อาจได้ผลตอบกลับที่ตรงกันข้าม

สก็อต ยังได้กล่าวถึงผลจากการสำรวจพนักงานที่ทำหน้าที่ดูแลลูกค้า ซึ่งต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มตลอดทั้งวัน บุคคลกลุ่มนี้มักมีสภาพอารมณ์ที่ย่ำแย่กว่าอาชีพอื่น ๆ และส่งผลให้คุณภาพการทำงานลดต่ำลง เหล่าผู้บริหารและเจ้านายมักคิดว่า การยิ้มแย้มแจ่มใสจะส่งผลดีต่องาน แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป

โดยสก็อตได้ทำการวิจัยเรื่องนี้ จากการสังเกตกลุ่มพนักงานขับรถประจำทางเป็นเวลา 2 สัปดาห์ รวมถึงเปรียบเทียบถึงผลกระทบที่แตกต่างกัน ระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย
ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการแสร้งปั้นหน้ายิ้ม ทำให้เกิดความเครียดด้านการแสดงออกทางอารมณ์ และจะดีขึ้นหากไม่แสร้งปั้นหน้ายิ้ม แต่เป็นการยิ้มโดยการพยายามคิดบวก หรือนึกถึงเรื่อง-สิ่งดีๆ ซึ่งทำให้มีอารมณ์ และความเครียดน้อยกว่าการปั้นหน้ายิ้มไปตามหน้าที่

การวิจัยยังชี้อีกว่า ผู้หญิงมักได้รับผลกระทบนี้มากกว่าผู้ชาย ทั้งนี้เพราะผู้หญิงนั้นอ่อนไหวมากกว่า และตามบริบทของสังคม ผู้หญิงสามารถแสดงออกซึ่งอารมณ์ได้ชัดเจนกว่าผู้ชาย การที่ต้องกดอารมณ์ที่แท้จริง และแสร้งปั้นหน้ายิ้มนั้น จึงทำให้ผู้หญิงเกิดความเครียดและเป็นทุกข์ได้ง่ายกว่า

ฉะนั้น การแสร้งปั้นหน้ายิ้มจึงไม่ใช่เรื่องดี และอาจทำให้อารมณ์แท้จริงขุ่นมัวกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม การยิ้ม โดยการพยายามคิดบวก ก็ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องนัก พนักงานคนหนึ่งอาจยิ้มแย้มได้ตลอดทั้งวัน โดยการพยายามนึกถึงแต่เรื่องและสิ่งดีๆ แต่ท้ายที่สุดเมื่อจบชั่วโมงทำงาน เขาอาจรู้สึกราวกับไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป

การปั้นใบหน้าให้ดูยิ้มแย้มอารมณ์ดี ไม่ว่าโดยวิธีใดท้ายที่สุดอาจทำให้บุคคลนั้นสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองได้ ถ้าอย่างนั้นจงยิ้มออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ ของคุณ แล้วรอยยิ้มนั้นจะเป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดในโลกเลยล่ะ

จาก : http://health.kapook.com/view25783.html

โรคซึมเศร้า !! :(

โรคซึมเศร้า เป็นโรคที่ทำให้เกิดการป่วยทางอารมณ์ คือจะเกิดภาวะซึมเศร้าขึ้น อาการป่วยนี้สามารถเกิดขึ้นหลังจากมีเรื่องเครียด หรืออาจเป็นได้ทั้งๆที่ไม่มีเรื่องเครียด บางรายอาจมีเรื่องเครียดเพียงเล็กน้อย ผู้ป่วยจะมีภาวะซึมเศร้า และเปลี่ยนไปจากเดิมชัดเจนและมีโอกาสฆ่าตัวตายได้ถ้าเป็นมากๆ อย่างไรก็ดีทั้งตัวผู้ป่วยเอง และญาติมักสังเกตุเห็นว่าผู้ป่วยมีความผิดปกติขึ้นแล้ว ในบางรายที่พอมีความรู้มักมารับการรักษาได้ค่อนข้างเร็ว

มีโรคทางอารมณ์อีกชนิดหนึ่งคือ โรคไบโพล่าร์ คนที่เป็นโรคชนิดนี้เมื่อป่วยขึ้นมาจะมีอาการได้ 2 แบบ คือ แบบซึมเศร้า และแบบตรงข้ามกับซึมเศร้า เวลาที่มีอาการแบบซึมเศร้า (depressive episode) ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนโรคซึมเศร้าทั่วๆ ไป แต่เมื่อมีอาการตรงข้ามกับซึมเศร้า (manic episode) ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ดีผิดปกติ มีความสุขมาก พูดมาก หัวเราะเก่ง ใจดี ใช้เงินเปลือง มีโครงการใหญ่ๆโตๆ ผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด บางรายก้าวร้าวเที่ยวไปก้าวก่ายคนอื่น บางรายมีความต้องการทางเพศมาก บางรายมีอาการหลงเชื่อผิดด้วย เช่น คิดว่าตนเป็นซุปเปอร์แมนมาพิทักษ์ชาวโลก โรคซึมเศร้า สลับกับอารมณ์ดีผิดปกตินี้ต้องการการรักษาด้วยาที่ต่างไปจาก โรคซึม เศร้า ธรรมดาดังนั้นเมื่อพบผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้า แพทย์มักจะถามว่า เคยมีช่วงที่อารมณ์ดีผิปกติหรือไม่เพื่อช่วยแยกโรคให้ถูกต้อง


การรักษา โรคซึมเศร้า ด้วยยา

โรคซึมเศร้า สามารถรักษาได้ด้วยยาแก้ โรคซึมเศร้า ( antidepressant drugs) ยาแก้ โรคซึมเศร้า มีอยู่หลายชนิด มีทั้งชนิดที่ทำให้ง่วงและที่ไม่ง่วง ยาแก้ โรคซึมเศร้า จะไม่ทำให้เกิดการเสพติด และผู้ป่วยสามารถหยุดยาได้เมื่อหมดความจำเป็น ยาแก้ โรคซึมเศร้า ไม่ได้ออกฤทธิ์เพียงแค่ลดความกังวล แต่มันจะออกฤทธิ์ทำให้อารมณ์หายซึมเศร้าจริงๆ ยาแก้ โรคซึมเศร้า จะออกฤทธิ์ค่อนข้างช้า โดยต้องรับประทานยาต่อเนื่องนานอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ จึงเริ่มเห็นว่าอารมณ์แจ่มใสขึ้น และมักต้องใช้เวลา 4-6 สัปดาห์ยาจึงจะออกฤทธิ์เต็มที่ เมื่อหายแล้วผู้ป่วยจะกลับเป็นคนเดิม และแพทย์จะให้ยาต่ออีกอย่างน้อย 6 เดือน แต่ในรายที่เป็นบ่อยแพทย์อาจพิจารณาให้ยานานกว่านั้น

การรักษา โรคซึมเศร้า โดยไม่ใช้ยา

เปลี่ยนความคิดอ่าน เปลี่ยนความคิดพิชิตความเศร้า

คนที่กำลังเศร้าจะมองโลกในแง่ร้าย และคนที่มองโลกในแง่ร้ายก็จะซึมเศร้าได้ง่าย เป็นวัฏจักรที่ทำให้ภาวะซึมเศร้าเป็นอยู่นาน ดังนั้นเมื่อเกิดอารณ์ซึมเศร้าขึ้นมา ให้ผู้ป่วยลองหยุดเศร้าสักประเดี๋ยวแล้วมองย้อนกลับไปว่าตะกี้เกิดอะไรขึ้น และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นมันมีความคิดอะไรแวบขึ้นมาในสมอง แล้วลองพิจารณาว่าความคิดอันนั้นมันถูกต้องแค่ไหน ถ้าคิดได้ว่ามันไม่ค่อยสมเหตุผลเท่าไรอารมณ์จะดีขึ้นทันที อย่างน้อยก็จนกว่าจะเผลอไปคิดอะไรในแง่ร้ายอีก แต่ถ้าคิดแล้วรู้สึกว่ามันก็สมเหตุผลดีก็ค่อคิดต่อว่า แล้วจะทำอย่างไรกับเรื่องนั้นดี

เปลี่ยนพฤติกรรม

ผู้ที่อยู่ในภาวะซึมเศร้ามักไม่อยากทำอะไร หมดเรี่ยวแรง นั่งๆนอนๆ แต่ในสมองจะคิดไปเรื่อยและมักคิดแต่เรื่องร้ายๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งลุกไม่ขึ้น ให้แก้โดยการหาอะไรทำ หาอะไรที่ได้ลงไม้ลงมือทำ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นงานที่สำคัญขอให้ได้ลงมือทำเป็นใช้ได้ เช่น จัดตู้หรือลิ้นชักที่รกๆ เอาของที่แตกที่หักมาลองซ่อมดู เช็ดรถ รดน้ำต้นไม้ แย่งงานคนใช้ทำฯลฯ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ความคิดฟุ้งซ่านจะลดลงและอารมณ์จะดีขึ้น


ปวดหัวตุบ ๆ กินพาราฯ ไปแล้วก็ไม่หาย อย่างนี้จะเป็นไมเกรนรึเปล่า

ปวดหัวตุบ ๆ กินพาราฯ ไปแล้วก็ไม่หาย อย่างนี้จะเป็นไมเกรนรึเปล่าคะ? (Lisa)
มีคำถามจากคุณผู้อ่าน Lisa ว่า ช่วงนี้ปวดหัวตุบ ๆ ตั้งแต่เช้า กินยาพาราเซตามอลไปแล้วก็ยังไม่หาย ยิ่งตอนเย็นจะยิ่งปวดมาก อาการแบบนี้เป็นไมเกรนหรือเปล่า แล้วจะทำอย่างไรดี

วันนี้ มีคำตอบจาก พญ.วิภาพร สายศรี แพทย์อายุรเวท จาก Dr.Care Clinic มาบอกค่ะ
"หนึ่ง ต้องดูว่านอนหลับสนิทมั้ย ในกรณีที่นอนหลับสนิท กล้ามเนื้อเกร็งตัวมากมั้ย แล้วการนอนทำให้กล้ามเนื้อคอผิดปกติรึเปล่า เนื่องจากหมอนอาจจะสูงเกินไปหรือเตี้ยเกินไป ปกติแล้วอาบน้ำให้สดชื่นก็จะหายไป"

"แต่ถ้ายังไม่หายจริง ๆ เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อที่หดตัวไม่คลายตัวออก หรือต้องไปสืบดูอีกทีหนึ่งว่ามีโรคประจำตัวอะไรรึเปล่า อย่างเช่น มีความดันสูงรึเปล่า คอเลสเตอรอลสูงมั้ย ถ้าไม่มีทั้งสองอย่างก็แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจว่า Trigger Point มีการกดทับเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนไหนรึเปล่าค่ะ"