6 วิธีเพิ่มพลังในทุก ๆ วัน *0*


เหนื่อยมั้ย? ที่ต้องทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน สารพัดประชุมที่ต้องเข้าร่วม แม้กระทั่งคุยโทรศัพท์ ตอบอีเมลล์และกินมือเที่ยงที่โต๊ะทำงานตัวเอง ร่างกายมนุษย์เราไม่ใช่เครื่องจักรนะจ๊ะ (หรือถึงเป็นเครื่องจักรถ้าทำงานตลอดเวลาก็ยังพังได้เลย) หันมาดูแลร่างกายตัวเองกันบ้างดีกว่า ถ้างั้นลองมาดูเคล็ดลับ 6 ข้อนี้กันเลย

1. พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้การงีบหลับสักตื่นก็ช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้ แต่เราควรนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนอย่างเต็มที่และเพื่อให้สมองเราเปิดรับการเรียนรู้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยที่มีกลยุทธง่าย ๆ 2 วิธี

อันดับแรก ต้องกำหนดเวลานอนและล้มตัวลงนอนก่อนอย่างน้อย 30-45 นาที โดยหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะกระตุ้นให้เราตื่นตัว เช่น ตอบอีเมลล์หรือคุยโทรศัพท์ เป็นต้น และหันไปหาวิธีการผ่อนคลายแทนสักอย่าง เช่น อาบน้ำอุ่น หรืออ่านหนังสือ

อันดับที่ 2 ก่อนนอนลองใช้เวลาสัก 2-3 นาทีเพื่อทบทวนดูว่ามีอะไรรบกวนจิตใจเราอยู่รึเปล่า แล้วจดใส่กระดาษไว้เพื่อกันไม่ให้เรื่องเหล่านี้ทำให้คุณข่มตาหลับไม่ลง หรือว่าต้องตื่นขึ้นมากลางดึก

2. พักสักนิดอย่างน้อยทุก ๆ 90 นาที การทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานอย่างแน่นอน อยากให้คุณลองใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีเพื่อรีชาร์จร่างกายคุณสักหน่อย โดยลองหลับตาและหายใจเข้านับ 1 ถึง 3 และค่อย ๆ ปล่อยลมออกทางปากแล้วนับ 1 ถึง 6 ฝึกและทำเป็นประจำ เพียงเท่านี้ก็ช่วยฟื้นฟูร่างกาย และทำให้ผ่อนคลายได้มากขึ้น

3. หมั่นจดรายการที่ต้องทำ หากมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย คุณก็ควรจดรายการเอาไว้ เพื่อที่จะเรียบเรียงและจัดการให้เป็นระเบียบ ซึ่งจะช่วยไม่ให้สมองทุกอย่างของคุณเก็บกักไว้เกินความจำเป็น
4. ออกกำลังกายและงีบหลับ ไม่มีทางไหนที่จะเคลียร์หัวสมองของคุณได้ดีเท่ากับการออกกำลังกายแล้ว และข้ออ้างสุดฮิตของคนไม่ออกกำลังกาย คงเป็น "ไม่มีเวลา" ถ้างั้นเราจะบอกว่าคุณสามารถทำได้ในช่วงมื้อเที่ยง เชื่อไหม?
ไม่ต้องสนใจเรื่องเข้ายิม หากคุณไม่มีเวลาไป เพียงแค่ใช้เวลาสัก 15 ถึง 30 นาที เดินออกไปหาอะไรกินข้างนอกในเวลาพักกลางวัน หรือแม้กระทั่งอยู่ในออฟฟิศก็ทำได้ โดยการเดินขึ้นลงบันไดก็ได้นะ

นอกจากนี้ เพียงแค่งีบหลับในช่วงเวลากลางวันสั้น ๆ สามารถช่วยให้คุณกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้และจะช่วยให้สามารถทำให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เทียบกับคนที่ไม่ได้นอนหลับเลยหลังจากทำงานเป็นเวลานาน ๆ

5. ฝึกที่จะรู้จักชื่นชม ลองหาโอกาสชื่นชมใครสักคนและแสดงให้เขารู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับเขา โดยบอกตรง ๆ หรือเขียนโน้ตให้เขา ซึ่งจะเป็นการให้พลังด้านบวกแก่เขาและการแบ่งบันความคิดในเชิงบวกนั้นก็จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นด้วย เช่นเดียวกันคุณก็ต้องหัดชื่นชมตัวเองด้วย เพื่อลิ้มรสความสุขเล็ก ๆ และให้กำลังใจตัวเองเมื่อสมควร พร้อมทั้งรู้จักให้อภัยตัวเอง เมื่อคุณผิดพลาด

6. เปลี่ยนกิจวัตรระหว่างที่ทำงานและบ้าน คนส่วนใหญ่มักจะนำงานกลับไปทำที่บ้านด้วย นั้นแสดงให้เห็นว่าคุณไม่สามารถละทิ้งงานได้เลย ทั้งที่เลิกงานแล้ว คนเราต้องผ่อนคลายกันบ้างนะ อย่าเอาตัวผูกกับงานมากเกินไปจนนำกลับไปที่บ้าน สถานที่ซึ่งควรจะเป็นที่ ๆ ทำให้คุณได้ฟื้นฟูตัวเองจากงานที่ทำมาตลอดทั้งวัน โดยที่ระหว่างทางกลับบ้านอาจจะหยุดรถแวะสวนสาธารณะ แล้วทอดอารมณ์สักเล็กน้อยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายลง ก่อนเดินทางกลับบ้านอันแสนสุข

พึงคิดไว้เสมอนะคะ ว่าร่างกายเป็นต้นทุนสำหรับการทำงาน หากเราปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลร่างกายให้ดี คุณก็ไม่สามารถเดินเครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังส่งผลต่อภาวะจิตใจและอารมณ์ คุณคงไม่มีความสุขแน่ ถ้าต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอด รักตัวเองก่อนรักงานนะ



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

Cream of Mushroom Soup: ซุปครีมเห็ด สไตล์ฝรั่งเศส


Prep Time: 5 minutes เวลาเตรียม 5 นาที
Cook Time: 10 minutes เวลาทำ 10 นาที
Total Time: 15 minutes รวม 15นาที

Ingredients:

* 1 onion, diced
* 4 tablespoons butter
* ¾ lb button mushrooms, chopped
* 4 teaspoons all-purpose flour
* 1 cup beef stock
* ½ bay leaf
* ¼ teaspoon salt
* 1/8 teaspoon black pepper
* 2 cups half and half (Milk 1/2 + Cream 1/2 = 1 )

หอมใหญ่ 1ลูก หั่นลูกเต๋า
เนย 4 ช้อนโต๊ะ
เห็ดสับ 3/4 ปอนด์
แป้งอเนกประสงค์ 4 ช้อนชา
น้ำสต๊อกวัว(หรืออื่นๆ) 1ถ้วย
ใบเบย์ ครึ่งใบ
เกลือ 1/4 ช้อนชา
พริกไทยดำ 1/8 ช้อนชา
half and half 2 ถ้วย

Preparation:

Melt butter over medium heat and sauté the onions and mushrooms for 5 minutes. Stir in flour and cook for 1 minute. Add beef stock, bay leaf, salt, and pepper. Simmer for 3 minutes and then remove bay leaf. Add half and half, warm through, and serve hot.

- ตั้งกระทะความร้อนปานกลาง ใ่ส่เนย ผัดหอมใหญ่ และ เห็ด 5 นาที
- ใส่แป้ง ผัดต่อ 1 นาที
- เติมน้ำสต๊อก ใบเบย์ เกลือ พริกไทย
- เคี่ยว 3 นาที เอาใบเบย์ออก
- เติม half and half
- เคี่ยวต่อ เสิร์ฟร้อนๆ

Makes 8 servings. สำหรับ 8 ที่

By Rebecca Franklin

How to make Ratatouille OoO


Preparation time 30 min. เวลาเตรียม 30 นาที
Cooking time 45 min. เวลาทำ 45 นาที

Ingredients

1 lb eggplant
1 lb zucchini (courgette)
4 tb olive oil
1/2 lb yellow onions
2 garlic cloves
1 lb tomatoes, firm and ripe
3 tb parsley
Salt and pepper

มะเขือ 1 ปอนด์
แตง 1 ปอนด์
น้ำมันมะกอก 4 ช้อนโต๊ะ
หอมใหญ่ 1/2 ปอนด์
กระเทียมทุบ 2 กลีบ
มะเขือเทศ 1 ปอนด์
พาร์ซเล่ 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือ พริกไทย

Directions
Step 1: Peel and cut the eggplant into 3 inches long slices. Cut the zucchini into slices but don't peel. Place those vegetables in a bowl, cover with water and let rest for 30 minutes. Drain.
-ปอกเปลือกมะเขือ และหั่นยาว3นิ้ว หั่นแตง เป็นชิ้นไม่ต้องปอกเปลือก ใส่ลงชาม ครอบด้วยน้ำ แล้วทิ้งไว้30นาที จนแห้ง

Step 2: Sauté the eggplant and zucchini with olive oil in a skillet. One minute on each side. Set aside.
- ผัดมะเขือและแตง ในกระทะทอดที่มีน้ำมันมะกอก ด้านละ1นาที แล้วปัดไปด้านหนึ่งของกระทะ

Step 3: Cook the onions with olive oil in the same skillet for 10 minutes over moderate heat. Stir in the garlic and add salt and pepper.
- เติมน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ผัดหอมใหญ่(กระทะเดียวกัน) 10 นาที ความร้อนปานกลาง ผัดกระเทียม เติมเกลือ พริกไทย

Step 4: Peel the tomatoes and boil for 30 seconds. Cut into slices. Lay them over the onions in the skillet. Cover and cook over low heat for 5 minutes. Uncover. Pour the juice from the the skillet over the tomatoes. Raise heat and boil for several minutes until juice has almost entirely evaporated.
- ปอกเปลือกมะเขือเทศ ต้ม 30 วินาที หันเป็นแว่น ใส่ลงในกระทะที่ผัดหอมใหญ่อยู่
- ปิดฝาไว้ ใช้ความร้อนต่ำ 5 นาที
- เปิดฝา เทน้ำในกระทะออก เพิ่มความร้อนแล้วต้มไว้สักพัก จนกระทั่งน้ำระเหยออกเกือบหมด

Step 5: Put a third of the tomatoes mixture in the bottom of a casserole. Sprinkle with 1 tablespoon of parsley. Then put half of the eggplant and zucchini. Then the second third of tomatoes. Sprinkle with 1 tablespoon of parsley. Put the remaining eggplant and zucchini, then the tomatoes and sprinkle with 1 tablespoon of parsley.
- ตักส่วนผสมของมะเขือ3ส่วน ลง ในหม้อเคี่ยว โรยพาร์ซเล่
- ตักมะเขือและแตงเพียงครึ่งเดียวใส่ลงไป และใส่มะเขือเทศ 2ใน3ลงตาม โรยด้วย พาร์ซเล่
- ตักมะเขือและแตงลงไป มะเขือเทศ ที่เหลือลงไป โรยด้วยพาร์ซเล่

Step 6: Cover and simmer over low heat for 10 minutes. Uncover, pour the juice over the vegetables. Add salt and pepper if needed. Raise heat to moderate and cook uncovered for 15 minutes. Pour the juice during the process several times over the vegetables.
- ปิดฝาเคี่ยวความร้อนต่ำ 10นาที เติมน้ำซุปลงบนผัก เติมเกลือพริกไทยถ้าต้องการ
- ปรับไฟปานกลาง เปิดฝา ต้มไว้15นาที
- คอยเติมน้ำซุประหว่างต้ม

Making French Onion Soup :D


Ingredients

1/2 cup butter

1 tablespoon olive oil

8 cups sliced onions (about 6-8 medium onions)

1/2 teaspoon sugar

8 cups beef stock

1/2 cup white wine

1 bay leaf

1/4 teaspoon chopped fresh thyme

Salt and pepper to taste

8 slices French bread

2 cups shredded Gruyere or Swiss cheese

Equipment

8-quart stock pot

Wooden spoon

Oven

8 oven-safe soup bowls3

Assembling the Soup Bowls

Arrange the slices of bread in a single layer on a baking sheet4
Broil for 2 minutes, turning the slices after one minute to brown both sides.4
Pour the soup into oven-proof bowls.5
Place a slice of bread atop each bowl.6
Sprinkle cheese atop each slice of bread.7
Arrange the bowls on a cookie sheet.7
Bake for five minutes at 350 degrees F.5
-You can also place the bowls under the hot broiler until the cheese bubbles and browns.6
Making the Soup

Melt the butter and olive oil in a stockpot over medium-high heat.6

Add the sliced onions to the pot.7

Stir in the sugar after five minutes.4

Continue to cook the onions on medium until golden brown, about 30 minutes.8

Add the beef stock, wine, thyme and bay leaf.5

Simmer for 30 minutes.6

Season to taste with salt and pepper.8

Locate and toss the bay leaf.8

ประสบการณ์หลังความตาย วิทยาศาตร์อธิบายได้


มีรายงานว่าผู้ป่วยที่ฟื้นจากความตายรู้สึกเหมือนตอนเองลอยออกจากร่างของตนเองที่นอนสงบนิ่งอยู่เบื้องล่าง บ้างก็ว่ารู้สึกเหมือนถูกดึงสู่อุโมงค์อันมืดมิที่มีแสงสว่างไสวอยู่ปลายทาง ลองดูว่าวิทยาศาสตร์มีคำตอบกับรายงานพวกนี้ว่าอย่างไร
โดยนักวิทยาศาสตร์กล่าวยืนยันว่า การที่ผู้ฟื้นจากความตายรู้สึกถึงการล่องลอยออกจากร่างนั้นแท้จริงเป็นเพียงการเล่นตลกของสมองที่พยายามจะทำความเข้าใจถึงขบวนตาย(ชีพจรต่ำ เลือดเลี้ยงสมองน้อยลง)
โดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Edinburgh และ Cambridge ที่ทำการตรวจสอบงานศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในสมองของเหล่าผู้เฉียดตาย
โดยนักวิจัย Caroline Watt กล่าวว่าหนึ่งในรูปแบบที่เหล่าผู้เฉียดตายจะเห็นเหมือนๆกันก็คือ การถูกดึงไปในอุโมงค์สู่ปลายทางที่มีแสงสว่าง มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดจากการตายของเซลล์รับแสงในดวงตา
ส่วนการที่มีความรู้สึกถึงวิญญาณออกจากร่างนั้นเกิดจากการที่สมองพยายามจะทำความรู้จักกับรู้แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน(ความตาย) โดยด็อกเตอร์วัตท์กล่าวว่าเราสามารถหลอกสมองได้โดยการใส่เครื่องฉายภาพเสมือนแบบครอบหัวแล้วฉายภาพของตัวเองอยู่ด้านหน้าในระยะสามฟุตรูปแบบนี้สามารถหลอกสมองให้คิดว่าวิญญาณออกจากร่าง
หรือความรู้สึกสงบ มีความสุข อิ่ม นั้นเป็นผลมาจากโฮโมน Noradrenaline ที่จะหลั่งออกมาเมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือตกอยู่ในสภาพเครียด


Credit : http://wowboom.blogspot.com/

สารพัดโรคที่มาจากการอดนอน =[]=


มีงานวิจัยที่ทดลองให้อาสาสมัครหนุ่มสาวนอนวันละ 4 ชม. ถึง 6 คืนด้วยกัน จากนั้นก็ทำการเจาะเลือดเพื่อหาระดับน้ำตาล ผลปรากฏว่า มีระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูง ควบคุมได้ยาก และมีลักษณะคล้ายกับอาการของโรคเบาหวาน ...
- การอดนอนยังส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนเลปติน ซึ่งเป็นการที่สื่อต่อระบบประสาทว่า ควรจะอิ่ม ได้เร็วหรือช้าเท่าใดตามความต้องการอาหารของร่างกาย เมื่อระดับเลปตินลดลง ระดับของความอยากอาหารจะเพิ่มขึ้นทั้งๆ ที่ทานอาหารจนได้รับพลังงานที่เพียงพอแล้วก็ตาม

- การนอนไม่พอยังส่งผลต่อเม็ดเลือดขาวและกลไกการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยง่ายเมื่อเจอเชื้อโรค

- นอกจากนี้นักวิจัยยังพบอีกด้วยว่า การอดนอนเป็นสาเหตุของโรคอ้วนอีกเช่นกัน โดยเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเร่งการเติบโต ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตทางกายภาพและควบคุมสัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อในร่างกาย การอดนอนทำให้ฮอร์โมนชนิดนี้หลั่งน้อยลง ทำให้อยากอาหารมากขึ้น...

- การอดนอนมากๆ อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่างๆ ได้ ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อ ... แต่ที่เป็นอย่างนั้นได้เพราะ เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ มันจะไปส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ทำงานแปรปรวน เนื่องจากการอดนอนและแสงรบกวนในเวลากลางคืน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเพราะฉะนั้น นอกจากจะต้องนอนให้เพียงพอแล้ว เรายังไม่ควรเปิดไฟนอนอีกด้วย

ไม่ใช่แค่สารพัดโรคที่ส่งผลมาจากการอดนอนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีผลข้างเคียงที่เห็นอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็น ใบหน้าทรุดโทรมหมองคล้ำ ร่างกายไม่ตื่นตัว ปวดหัวระหว่างวัน หรือแม้แต่ทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ แต่เราสามารถป้องกันได้โดยการอย่าอดนอนโดยไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตามในช่วงที่เกิดวิกฤติน้ำท่วมแบบนี้ทำให้หลายคนต้องอดนอนเพราะเป็นห่วงบ้านและทรัพย์สิ้นจะหายรวมไปถึงบางคนอาจจะกำลังขนย้ายของเพื่อหนีน้ำที่กำลังจะล้นทะลักเข้าบ้าน จึงทำให้ไม่นอน ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ทุกคนควรทำใจให้สบายแล้วผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปพร้อมๆกันค่ะ




Credit : http://www.sanook.com/

การจัดห้องอ่านหนังสือ อย่างถูกวิธี !!


เช็ค “ห้องอ่านหนังสือ” ของตนเองกระตุ้นการเรียนรู้หรือไม่? พร้อมเทคนิค “จัดห้องดีทำสมองดีได้” ด้วยลักษณะแบบไหน...มารู้กัน

ไม่เพียงรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนอย่างเพียงพอเท่านั้น “การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม” ก็เป็นปัจจัยสำคัญช่วยกระตุ้นการเรียนรู้สู่การพัฒนาสมองได้อีกทางหนึ่ง วันนี้มีวิธีง่าย ๆ มาแนะนำ

เลี่ยงตั้งโต๊ะอ่านหนังสือตรงหน้าต่าง เพราะบรรยากาศเบื้องหน้า หรือ สิ่งเร้าล่อตาล่อใจจะอยู่ในสายตา เป็นตัวดึงสมาธิ อีกทั้ง การให้ร่างกายรับแสงอาทิตย์ ซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเลต หรือ ยูวี โดยตรง ไม่เป็นผลดีต่อสมอง และผิวหนัง ควรเลือกห้องที่รับลม ปลอดโปร่ง สงบ และไม่เป็นทางเดินผ่านของคนภายในบ้านบ่อยนัก

ไม่ควรหันหลังให้ประตู เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักพะวง หรือ หวาดระแวง กับสิ่งที่มองไม่เห็นด้านหลังได้ง่าย ทำให้ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ และทบทวนบทเรียน

โต๊ะควรทำจากไม้ ผลวิจัยในต่างประเทศพบว่า คลื่นสมองจะทำปฏิกิริยากับคลื่นแม่เหล็กที่เป็นวัสดุจากโต๊ะ เช่น เหล็ก ส่งผลต่อการรบกวนสมองได้ นอกจากนี้ ดีไซน์ของโต๊ะ และเก้าอี้ก็สำคัญ ควรเอื้อต่อการลุกยืน-นั่งสะดวกสบาย รองรับอิริยาบถได้เหมาะสม เสริมบุคลิกภาพที่ดี จะช่วยให้ไม่เครียดง่าย และมีสมาธิขึ้น รวมถึงสีสัน ควรเรียบสบายตา ไม่รกด้วยภาพ หรือ สติกเกอร์

มีแสงพอเหมาะ เนื่องจากแสงสว่างสามารถกระตุ้นประสาทสัมผัสด้านการมองเห็นได้เร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ควรเลี่ยงแสงสว่างจ้า เพราะจะทำให้สายตาอ่อนล้า หากมืดเกินไปก็เป็นปัจจัยทำสายตาสั้นได้เช่นกัน จึงควรหาโคมไฟติดไว้ เพื่อช่วยปรับแสงให้พอดีกับสภาพแวดล้อมแต่ละวัน

ทั้งนี้ อย่าลืมสิ่งสำคัญ คือ ความสะอาด และเป็นระเบียบ เท่านี้ก็จะได้บรรยากาศที่ดี ช่วยสร้างลักษณะนิสัยใฝ่เรียนรู้ ลองนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะตามสไตล์กันดู.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน


เมื่อ ลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้ เพื่อจะได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้

1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุก ครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น

2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง

3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น

4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ

5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่า การอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ

6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น

7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือ ว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้

8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น

อย่าลืมทบทวนตำราเรียนทุกวันนะคะ แล้วเอาเทคนิคทั้ง 8 ไปใช้ดู เผื่อประสิทธิภาพในการอ่านจะทำให้เกรดภาคเรียนต่อไปดีขึ้นทันตาก็ได้

Credit บทความ http://fahsai26.myfri3nd.com/blog/2011/01/17/entry-2
และภาพสวยๆ จาก สสส

นอนอย่างไรทำสมองใสยามเช้า?


เผย 5 เคล็ดลับหลับสบาย ตื่นยามเช้าทำสมองใส จิตใจสมดุล พร้อมสู่การเรียนรู้

หนุ่ม-สาววัยใสที่มักมีอาการสมองตื้อ ระหว่างวันความคิดแล่นช้า ขณะเดียวกัน ยังมีอารมณ์ขุ่นมัวร่วมด้วย ลองรีสตาร์ท (Restart) ระบบร่างกายตั้งแต่ก่อนนอน ด้วย “5 เคล็ดลับ” ต่อไปนี้

เริ่มจาก อาบน้ำอุ่นก่อนนอน จะทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้น ระหว่างนั้น อาจหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ปริมาณเล็กน้อยลงอ่างน้ำ ซึ่งมีคุณสมบัติระงับประสาทให้รู้สึกสงบ และผ่อนคลาย ทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ ทั้งยังช่วยคลายอาการตึงตัวของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ด้วย

เลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้หลับไม่ลง อย่าง คาเฟอีน นิโคติน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารรสหวาน จากกาแฟ, ชา, โคล่า, โกโก้, ช็อคโกแลต สูบบุหรี่ รวมทั้งไม่รับประทานมื้อหนักก่อนนอนอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง หากหิวควรทานนมอุ่น ๆ ดีกว่า

4 ชั่วโมงก่อนนอนไม่ควรออกกำลัง เพราะมีผลกระตุ้นกล้ามเนื้อ โดยร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้หลับยาก ทั้งนี้ การออกกำลังกายช่วงเช้า หรือเย็น ประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินสารเคมีที่สร้างจากสมอง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

ทั้งนี้ จากรายงานของหน่วยงานที่ศึกษาด้านการนอนหลับ ของสหรัฐฯ พบว่า การสัมผัสกับแสงไฟนีออนยามนอน ส่งผลต่อคุณภาพการหลับลดลง โดยแสงดังกล่าว จะไปกดการทำงานของเมลาโทนินฮอร์โมนตามธรรมชาติ ซึ่งควบคุมการนอนหลับ ดังนั้น ไม่ควรเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืน

เมื่อตื่นนอนตอนเช้า ใช้เวลา 5 นาทีออกไปรับลม และแสงนอกระเบียง หรือหน้าต่าง จะกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น อารมณ์แจ่มใส สมองตื่นตัว เพียงเท่านี้ก็บอกลาอาการง่วงซึมระหว่างวันได้แล้ว แนะนำวัยเรียนลองไปพิสูจน์กันดู.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้ "ง่วง"!


คุณเคยสงสัยตัวเองบ้างไหมค่ะว่าทำไมถึงได้มีอาการง่วงนอนตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม นั้นคุณลองสังเกตตัวเองดูนะค่ะว่าได้กินอาหารที่มีสาเหตของการง่วงนอนตลอดเวลาบ้างรึเปล่าค่ะ

1. กาแฟ ดื่มกาแฟตอนเช้าโดยที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่าจะทำให้ง่วงได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟได้ 30 นาที กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมองส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้นแล้วความง่วงก็จะตามมา

2. กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็วช่วยสลายความเครียด ฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟรินจากกล้วยจะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข แต่ถ้ารับประทานกล้วยมากเกินไปจะทำให้เราเกียจคร้านและไม่อยากขยับเคลื่อนไหวร่างกาย

3. ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ง่วงนอน ดังนั้น ช็อกโกแลตจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยให้นอนหลับและถ้าหากมีโกโก้ในปริมาณสูงก็จะทำให้รู้สึกมีความสุข

4. ครัวซองต์ หากรับประทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้นจะรู้สึกง่วงนอน เพราะครัวซองต์มีปริมาณแป้งขัดขาวมากและอุดมไปด้วยไขมันอีกด้วยซึ่งไขมันจำเป็นต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้น เมื่อรับประทานครัวซองต์เข้าไปร่างกายก็จะดึงเลือดจากสมองไปที่กระเพาะเป็นจำนวนมากเมื่อสมองมีเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอก็จะทำให้ง่วงนอน หากคุณต้องทำงานเร่งด่วนก็ควรรับประทานครัวซองต์ได้แค่ชิ้นเล็ก ๆ หนึ่งชิ้น

5. ขนมปังขาวและข้าวขาว อาหารทุกชนิดที่ทำมาจากแป้งขัดขาวเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ง่วงเหตุผลก็คือ มันเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วนจึงทำให้ตับอ่อนต้องหลั่งอินซูลินออกมามากจึงทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน

6. ถั่วเปลือกแข็ง มีกากใยอาหารมากซึ่งจะไปชะงักกระบวนการย่อยอาหารและยังถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่โดยไม่ได้ย่อย และกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่จัดการกับกากใยอาหาร ผลก็คือทำให้ท้องอืดเฟ้อและง่วงนอนโดยเฉพาะถ้ารับประทานถั่วผสมเกลือก็จะทำลายวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบีซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

7. ของหวาน เช่น ขนมหวาน เค้ก คุกกี้ เครื่องดื่มหวาน ๆ น้ำตาล ทำให้ง่วงนอนและยังเป็นตัวแย่งวินามินบีไปจากร่างกายเราด้วย เช่น วิตามินบี 1 บี 3 บี 6 และกรดโฟลิก และเมื่อร่างกายขาดแคลนวิตามินดังกล่าวก็จะทำให้เรี่ยวแรงถดถอยจึงส่งผลให้รู้สึกง่วง

8. ผลิตภัณฑ์นมหรือโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ถ้ารับประทานโยเกิร์ตเข้าไปมากก็จะทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและโปรตีน แต่ในขณะเดียวกันโปรตีนที่ว่านี้ก็จะแยกกรดอะมิโนจากร่างกายซึ่งจะส่งผลให้มีกรดมากเกินในร่างกายและทำให้ง่วงตลอดเวลา



ขอขอบคุณ : นิตยสาร Lisa

ประวัติวันลอยกระทง !


วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย



ประวัติ
เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป[ต้องการอ้างอิง] แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่1




ความเชื่อ
ป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพระยามารได้

ทำไมกินไอศกรีมแล้วปวดหัว!


ยิ่งอากาศ ร้อนอย่างนี้ อาหารการกิน หรือเครื่องดื่มเย็นๆ มักเป็นที่สนใจขายดี เป็นเทน้ำเทท่า โดยเฉพาะไอศกรีมนี่ ยิ่งถูกใจกันนัก ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่

รสชาติของไอศกรีมที่ทั้งหวานทั้งเย็นนั้น

คุณๆ เคยนึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบางทีกินไอศกรีมแล้ว มันถึงได้ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาได้ทันที คำถามอันนี้ตอบได้ไม่ยากค่ะ ลองไปเสาะแสวงหาคำอธิบายจากท่านผู้รู้ได้ดังนี้ค่ะ

การที่เรากินไอศกรีมหรือเครื่องดื่มเย็นๆ

แล้วทำให้เรารู้สึกปวดหัวขึ้นมาได้นั้น เป็นเพราะว่า เจ้าอาหารหวานเย็นพวกนั้น ไปแตะที่เพดานปาก เลยทำให้ระบบประสาท มีปฏิกิริยาต่อความเย็น ทำให้หลอดเลือดในสมองบวมโตขึ้น อันนี้เลยเป็นสาเหตุทำให้ มักจะปวดหัวเวลากิน ของเย็นเจี๊ยบเข้าไป แต่ก็มักจะหายได้ในเวลาไม่กี่นาที เมื่อหลอดเลือดยุบตัวลง จะหลีกเลี่ยงอาการ "ปวดหัวหวานเย็น" ลงได้นั้น ผู้ รู้แนะนำไว้ว่า เวลาจะกินไอศกรีมหรือของหวานเย็น ต้องค่อยๆกิน ให้เวลาเพดานปากได้คุ้นเคยกับอุณหภูมิ ที่เปลี่ยนแปลงสักหน่อยเมื่อกัดกินของหวานเย็นลงไปแต่ละคำ.

กินแบบไหนถึงหาย “ร้อน”


ลดการกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไขมันและแป้ง เนื่องจากอาหารประเภทนี้ต้องใช้พลังงานในการย่อยค่อนข้างสูง ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนัก ซึ่งจะเกิดความร้อนขึ้นภายในร่างกาย นอกจากนั้นก็ยังเป็นอาหารกลุ่มที่ให้พลังงานมาก ซึ่งถ้ากินมากเกินไปก็จะทำให้ได้รับพลังงานเกินความจำเป็น ดังนั้นควรเปลี่ยนไปกินอาหารพวกผักและผลไม้มากขึ้น

ดื่มน้ำสะอาดเพิ่มขึ้นในฤดูร้อนจะทำให้เราเสียเหงื่อได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจะต้องดื่มน้ำเข้าไปชดเชยเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ โดยเฉพาะคนที่จะต้องอยู่กลางอากาศร้อนจัด แดดแรง หรือต้องออกกำลังกายกลางแจ้ง ควรดื่มน้ำให้ได้ 4-6 แก้วต่อชั่วโมง ส่วนน้ำที่ใช้ดื่มนั้นควรเป็นน้ำสะอาดที่อุณหภูมิห้อง ควรหลีกเลี่ยงน้ำหวาน เพราะจะทำให้รู้สึกกระหายน้ำเพิ่มมากขึ้น และไม่ควรดื่มน้ำเย็นจัด เพราะจะทำให้ป่วยได้ง่าย เนื่องจากร่างกายปรับอุณภูมิไม่ทัน และควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เส้นเลือดขยายตัวมากขึ้น ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำได้ง่าย อีกทั้งในอากาศร้อน แอลกอฮอล์จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วกว่าปกติ ทำให้เมาได้ง่ายและอาจช็อกหมดสติได้

กินอาหารที่สด สะอาด และปรุงสุก เนื่องจากในหน้าร้อนเชื้อโรคจะเจริญเติบโตได้ดี ทำให้อาหารเน่าเสียได้ง่าย ซึ่งเมื่อกินเข้าไปอาจเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้ จะเห็นได้จากที่กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศเตือนให้ระวังอันตรายจากโรคในหน้า ร้อน เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคอาหารเป็นพิษ โรคบิด เป็นต้น ซึ่งสามารถป้องกันได้จากการดูแลความสะอาดของอาหารและน้ำดื่ม รวมถึงรักษาสุขลักษณะส่วนบุคคล

กินอาหารรสขมเย็น อาหารที่มีสรรพคุณทางยาในรสขมเย็น จะช่วยขับร้อน แห้กระหาย ถอนพิษไข้ แก้ร้อนใน ซึ่งอาหารในประเภทนี้ก็มีหลายชนิด เช่น มะระ ฟักเขียว ปวยเล้ง ผักกาดขาว แตงกวา ผักบุ้ง แตงโม สาลี่ เป็นต้น



ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของสสส.
และวิชาการดอทคอม - thaihealth

นั่งหน้าคอมฯนานๆอาจตายได้!


สำหรับผู้ที่ต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ควรที่จะระมัดระวังโรคที่เกี่ยวกับการนั่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานหรือที่เรียกว่า DVT

อาการเลือดจับตัวเป็นก้อนเมื่อนั่งใช้คอมพิวเตอร์นานๆ (DVT)
แพทย์เชื่อว่าอาการเลือดจับตัวเป็นก้อนลิ่มในเส้นเลือดของผู้ป่วยใกล้ตายรายหนึ่ง สาเหตุมาจากการที่ใช้เวลานั่งทำงานอย่างต่อเนื่องกับคอมพิวเตอร์นานเกินไป โดยที่ไม่ได้มีการขยับร่างกาย หรือลุกออกไปไหนเลย มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า คอมพิวเตอร์สามารถทำให้คุณตายได้ ซึ่ง เราไม่ได้กำลังพูดถึงนักเล่นเกมที่ตายหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ หลังจากอดอาหาร และน้ำต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน แต่หมายถึงใครก็ตามที่จะได้รับผลกระทบจากการใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่กับโต๊ะ คอมพิวเตอร์

นักวิจัยที่ประเทศนิวซีแลนด์พบว่าการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง อาจทำให้เลือดแข็งตัวเป็นก้อนลิ่ม เป็นอันตรายถึงตายได้ ลักษณะคล้ายๆ กับการเกิดอาการที่เรียกว่า DVT (Deep Vein Thrombosis) ซึ่งเกิดจากการนั่งเครื่องบินในระยะทางไกลๆ โดยเฉพาะชั้นที่นั่งราคาประหยัด บางทีจึงเรียกอาการนี้ว่า “economy-class sysdrome” ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยที่ได้ข้อมูลว่า ชายวัย 32 ปี ผู้หนึ่งที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าเทอร์มินัลคอมพิมเตอร์ประมาณ 18 ชั่วโมงต่อวันซึ่งอาการโคม่า เนื่อง จากเกิดอาการเลือดจับตัวเป็นก้อน โดยก้อนเลือดที่เกิดขึ้นนี้จะอยู่ในบริเวณขาบอบเขา ก่อนที่จะแตกกระจายและเดินทางไปยังปอดทั้งสองของเขาอีกทีหนึ่ง อาการที่เรียกว่า DVT นี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีเลือดขันอยู่ในเส้นเลือดดำ ซึ่งมันจะค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองไปเป็นก้อนลิ่ม
โดยอาการที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนคือ ขา จะเริ่มบวม ส่วนอาการที่อันตรายจะเกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดแตกออก และเดินทางไปยังหัวใจ หรืออวัยวะภายในที่สำคัญๆ ซึ่งผลลัพธ์ของอาการที่เกิดขึ้นจะไม่อาจคาดเดาได้

ข้อแนะนำ

นอกจากการที่ไม่ควรนั่งทำงาน หรือเล่นคอมพิวเตอร์นานเกินไปแล้ว ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่รู้สึกว่านั่งนานเกินไปให้พยายามกระดิกนิ้วเท้า และข้อเท้า ดื่มน้ำ และไม่ควรดื่มอัลกอฮอล์ นอกจากนี้ ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่นั่งนานควรจะลุกขึ้นและยืดขาอย่างน้อยๆ ชั่วโมงละ 1 ครั้ง การใช้ยาแอสไฟริน ซึ่งช่วยให้เลือดไม่ข้นเกินไปก็สามารถช่วยได้เหมือนกัน การนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ในท่าทางที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงบ้าง ผู้เชี่ยวชาญบางท่านยังตั้งข้อสังเกตว่าผู้ใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์จะเสี่ยง ต่ออาการผิดปกติที่ว่านี้เป็น 2 เท่า โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนั่งทำงานกับโน้ตบุ๊กในชั้นที่นั่งราคาประหยัดบนเครื่อง

ที่มา www.thaigcd.ddc.moph.go.th/index.html

เครื่องดื่มซ่า ที่น่ากลัว


ในบรรดาเครื่องดื่มต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน น้ำอัดลม เป็นเครื่องดื่มที่จัดว่าไร้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง แถมยังเป็นโทษต่อสุขภาพอย่างมาก

มองไปบนโต๊ะในร้านอาหารเกือบทุกแห่ง น้ำอัดลมหลากสีจัดเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม สำหรับหลาย ๆคนในบ้านเราและบ้านอื่น ทั่วโลก

นอกจากรสหวานที่ดึงดูดใจให้ต้องดื่มเป็นประจำแล้ว ความซ่าจากคาร์บอเนตก็ติดตราตรึงใจผู้คนไม่น้อย แม้จะมีราคาไม่สูงแต่เมื่อเทียบกับประโยชน์และโทษ นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่ควรหลีกหนีให้ไกล

ประการแรก น้ำตาลที่สูงมากในน้ำอัดลมทุกขวด เป็นตัวสร้างปัญหาให้กับเราในเรื่องน้ำหนักตัวที่เกินปกติ เพราะน้ำอัดลม 1 กระป๋องหรือขวด มีน้ำตาลสูงเทียบเท่าน้ำตาลทราย 15-20 ช้อนชา เรียกว่าเราได้พลังงานมหาศาลถึง 300-400 แคลอรี่ หากใช้ไม่หมดมันก็จะสะสมเป็นชั้นไขมันในพุง หรือในต้นขาของเรา

ประการที่สอง การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ และบ่อย ๆ ไม่เป็นผลดีต่อระบบภายในร่างกาย เมื่อน้ำตาลสูงร่างกายก็ต้องพึ่งฮอร์โมนอินซูลินในการลดน้ำตาลในเลือด ตับอ่อนก็ต้องทำงานหนัก ก็อาจเกิดความเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ ก็เป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน

จากเบาหวานก็จะมีอีกสารพัดโรคที่ตามมา อาทิ ความดันสูง หลอดเลือดตีบ โรคหัวใจ

แต่ท่านที่ติดความซ่าอาจคิดเลี่ยงไปซดเครื่องดื่มประเภทไร้แคลอรี่หรือปราศจากน้ำตาล แต่ท่านทราบไหมว่าเป็นการหนีเสือปะจระเข้ เพราะยิ่งดื่มจะยิ่งมีโอกาสอ้วน

จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเท็กซัสกว่า 8 ปีต่อเนื่อง ได้มีข้อสรุปว่าผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มประเภทปราศจากน้ำตาลและใส่สารทดแทนความหวานจะมีโอกาสน้ำหนักเกินกว่ากลุ่มปกติการศึกษาชี้ถึงความเสี่ยงที่จะอ้วนสูงถึง 41% สำหรับทุก ๆ ขวดที่ดื่มเข้าไป

สาเหตุที่การดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาลแต่กลับมีโทษต่อร่างกายมากกว่าเพราะสารทดแทนความหวานสร้างปฏิกิริยาทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเก็บกักไขมันมากกว่าปกติ มากกว่าการเก็บจากภาวะที่เราได้จากน้ำตาลธรรมชาติ

ประการต่อมา ความประมาทของผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่คิดว่าไม่มีน้ำตาลหรือกังวลเรื่องน้ำหนักตัว ทำให้เผลอใจกินอย่างไม่ระมัดระวัง กว่าจะรู้ตัวอีกที อ้วนเสียแล้ว

สำหรับผู้ที่รักสุขภาพอย่างแท้จริง เครื่องดื่มประเภทนี้ควรหลีกหนีให้ไกลเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้



ที่มา ... Never-Age

ไม่กินคาร์โบไฮเดรต ทำสมองเฉื่อยชา


หลายคนใช้วิธีลดหรืองดรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเพื่อลดน้ำหนัก โดยเฉพาะผู้ที่ใช้วิธีลดน้ำหนักแบบแอทกินส์ ที่สนับสนุนให้ลดคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล แต่ให้รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์และไขมันได้

จากการศึกษาผลกระทบของสมองจากการรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ ในหญิง 19 คน อายุระหว่าง 22 - 55 ปี ของ ดร.ฮอลลี่ เทย์เลอร์ จากมหาวิทยาลัยทัฟส์ สหรัฐอเมริกา พบว่าภายใน 1 อาทิตย์ หญิงที่รับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ มีคะแนนทดสอบทางสมองด้านการจำน้อยกว่ากลุ่มหญิงที่ลดความอ้วนด้วยการรับประทานอาหารที่มีแคลอรีน้อย

ดร.เทย์เลอร์กล่าวว่า "คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งสร้างพลังงานที่สำคัญของสมอง ซึ่งการลดการบริโภคคาร์โบไฮเดรตเป็นการลดจำนวนกลูโคสและน้ำตาลที่ใช้ไปเลี้ยงเซลล์สมอง"

แหล่งอาหารที่ให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มันข้าวโพด พืชผักและผลไม้ที่มีรสหวาน ขนมและอาหารที่ทำจากแป้งหรือข้าว


เพราะฉะนั้น หากใครที่ไม่อยากมีสมองที่เฉื่อยชา ล่ะก็ต้องทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตให้ครบตามที่ร่างกายต้องการเป็นประจำทุก ๆ วันนะคะ
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

หนังสือถึงจะเปียก ก็ซ่อมได้ !!


หนังสือถึงจะเปียก ก็ซ่อมได้ !!!


ในเวลาที่น้ำท่วมเวอร์ขนาดนี้ การเตรียมพร้อมในแต่ละบ้านคงหนีไม่พ้น การเก็บ "ของมีค่า" ขึ้นที่สูงให้หมด และเจ้า "ของมีค่า" ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนะ บางสิ่งมันมีคุณค่าทางใจของเราโดยที่คนอื่นก็ไม่รู้

และของมีค่าของคนรักการอ่าน ก็คงจะไม่อะไรไปไม่ได้นอกจาก "หนังสือ" ซึ่ง SmiLelY ก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ ก็เราซื้อมาด้วยเงินของเรานี่น่า ที่สำคัญ กระดาษกับน้ำมันถูกกันซะที่ไหนล่ะ แค่โดนฝนนิดเดียวยังบวมเลย จริงมั้ย? เพราะงั้นเราทั้งหลายก็ต้องขนๆๆๆไปไว้ในที่ที่คิดว่าสูงที่สุด ปลอดภัยที่สุดอยู่แล้ว

แต่ด้วยสถานการณ์ที่เชื่อถืออะไรไม่ได้สักอย่างคงไม่มีความแน่นอนอะไรอีกแล้ว เพราะที่ออกมาเตือนๆบอกกันก็ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง สรุปเอาง่ายๆตามภาษาชาวบ้านธรรมดาๆอย่างเราว่า "มันท่วมแน่นอน" เตรียมไว้เลยสองเมตร

เพราะงั้นหนังสือที่เก็บไว้สูงๆๆแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าจะรอดปลอดภัยไม่มีเปียกนะจ้ะ

แต่ถ้าเกิดเหตุขึ้นจริง อย่าเพิ่งตระหนกตกใจไป เพราะยังพอมีวิธีแก้ไขอยู่บ้าง ถ้าหากว่าไม่ถึงขั้นจมน้ำจนกระดาษเปื่อย หรือลอกกระดาษหลุดเป็นแผ่นๆ TTTOTTT
แยกตามระดับการเปียก ถ้าหนังสือเปียกไม่มาก อันดับแรกให้ใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ ซับน้ำส่วนเกินออกก่อน ห้าม! ขัดถูหรือเช็ดแรงๆ หรือพยายามแกะ หรือแซะเอาโคลนออกด้วยแปรง หรือของแข็ง และก็ไม่ควรใช้สบู่ ยาขจัดคราบสกปรก ผงซักฟอก ครีมน้ำยาต่างๆ เด็ดขาด เพราะจะเป็นอันตรายและเพิ่มความเสียหายแก่หนังสือมากขึ้น

จากนั้นก็เอามือลูบกระดาษให้เรียบก่อนที่จะเอาไปวางแช่ในช่องแช่แข็งตู้เย็นประมาณ 1 วัน ซึ่งจะแห้งช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับระดับความเปียกและความหนาของหนังสือ โดยวางให้ส่วนที่เปียกอยู่ด้านบน ก่อนจะหาอะไรมาทับซักนิด แล้วจะได้หนังสือที่มีแผ่นกระดาษเรียบๆ เหมือนเดิม

อ่อ!ถ้ามีหลายเล่ม ห้ามวางซ้อนกันเด็ดขาด ไม่งั้นพอแห้งแล้วปกจะติดกัน คราวนี้จะเป็นปัญหายิ่งกว่าหนังสือเปียกซะอีก

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ อย่าเอาของกลิ่นแรงๆ แช่พร้อมหนังสือนะ เพราะกระดาษมีคุณสมบัติในการดูดกลิ่น ไม่งั้นอาจจะได้หนังสือกลิ่นทุเรียนออกมาดมเล่นแน่ๆ

หลายคนคงสงสัยว่ามันจะแก้ได้จริงเหรอ จะออกมาเรียบเหมือนเดิมจริงเหรอ

สาเหตุที่กระดาษเรียบได้นั้น ก็เพราะว่าเมื่อกระดาษเปียกน้ำเจอความเย็น โมเลกุลของน้ำจะขยายตัว ช่องว่างในกระดาษจะมีการเรียงตัวใหม่ กระดาษก็เลยเรียบเนียนเหมือนเดิมนั่นเอง

ในกรณีที่ตู้เย็นแช่ผักกักตุนอาหารไว้เต็มจนแทบไม่เหลือที่ว่างให้หนังสือ ก็ไม่ต้องกังวล เพราะมีวิธีซักแห้งมาเสนอ โดยมีอุปกรณ์สำคัญที่นอกเหนือจากผ้านุ่มๆ สะอาดๆ ก็คือ แป้งเด็กที่ไม่มีสีและกลิ่น

โดยเริ่มจากนำผ้าสะอาดมาซับน้ำจากกระดาษทีละแผ่นๆ ที่ค่อยๆ คลี่ออกจากกัน จากนั้นก็โรยแป้งเด็กลงบนกระดาษทุกหน้าที่เปียก โดยเกลี่ยให้เสมอกัน ก่อนที่จะนำไปไว้ที่แห้งๆ แล้วนำของที่มีน้ำหนักมากๆ ทับลงไปให้เรียบไปกับพื้นผิวที่วาง ทิ้งไว้ประมาณ 2-7 วัน จะช้าเร็วก็ขึ้นกับว่าเปียกมากน้อย และปริมาณความชื้นในอากาศ

ซึ่งทั้งหมดต้องรีบทำทันที! อย่าทิ้งไว้นาน เพราะถ้าแช่น้ำนานๆ ต่อให้เทวดาเหาะลงมาก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเชื้อราจะสามารถเติบโตได้ภายในเวลา 24 ชั่วโมง

คงจะช่วยได้ในระดับนึงล่ะนะ แต่สำหรับบ้านที่มีชั้นเดียว อาจหนีไม่รอด ถ้าแช่เป็นเดือนๆก็คงต้องบอกว่า "เสียใจด้วยจริงๆ" ดังนั้น ถ้ามีเล่มโปรด เล่มหายากจริงๆ ขนไปฝากบ้านญาติ หรือคนรู้จักเลยจะดีกว่า





ขอบคุณ : matichon.co.th

เวลาเหลือน้อย ใครไม่พร้อม สอบไม่ติดแน่ !


ปีนี้เป็นปีการศึกษาที่วุ่นวายมากพอสมควร

เนื่องจากเกิดเหตุการณ์อุทกภัยใหญ่ ในรอบหลายร้อยปีเลยก็ว่าได้

จึงทำให้ ปฎิทินรับสมัคร หลายๆมหาวิทยาลัยเลื่อนไป

รวมไปถึง การสอบ GAT-PAT ที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก

โดยครั้งนี้จะสอบวันที่ 24 - 27 ธันวาคม 2554

หลายคนก็แอบดีใจเนื่องจากมีเวลาอ่านมากขึ้น

แต่ผมอยากจะเตือนเลยว่า

ถ้า ณ ปัจจุบันนี้คุณ ยังอ่านหนังสือสำหรับสอบ GAT-PAT ไม่จบ

อาจจะทำให้คุณสอบไม่ติดได้

เพราะว่า

เวลาจริงๆเหลือไม่มากอย่างที่คิด

ปัจจุบันวันที่ 1 พย 2554

สอบ GAT-PAT 24-27 ธันวาคม 2555 คุณเหลือเวลา 54 วัน

หลังจากสอบนั้นต้องสอบ

7 วิชาสามัญ วันที่ 7-8 มกราคาม 2554

นั่นหมายความว่าคุณมีเวลาเหลือหลังจากที่ต้องสอบ GAT-PAT 1/2555

อีกแค่ประมาณ 10 กว่าวันเท่านั้น

แล้วช่วงนั้นอยู่ระหว่างปีใหม่ อาจจะทำให้ความสามารถในการอ่านหนังสือลดลง !!!

ดังนั้น ถ้าใครบอกตัวเองว่า ยังมีเวลาอีกเยอะ

นั่นหมายถึง หายหนะ !!!

( ดังนั้นตอนนี้ควรจะเริ่มอ่านไทย สังคม ได้แล้ว )

หลังจากสอบ 7 วิชา ด่านต่อไปคือสอบ O-NET

สอบวันที่ 17 และ 18 กุมภาพันธ์ 2555

โดยเราจะมีเหลือเวลาให้เตรียมตัว ประมาณ 40 วัน

โดยการสอบ ONET ผมคิดว่ามีความสำคัญมากๆ เพราะทุกคนมีโอกาสสอบได้เพียงหนเดียว

หลังจากนั้น คือการสอบใหญ่ครั้งสุดท้ายของคนที่ยังไม่มีที่เรียน

นั่นก็คือการสอบ GAT-PAT รอบ 2/2555

ในวันที่ 3-6 มีนาคม 2555

เหลือเวลาไม่ถึง 15 วัน >..<

สุดท้ายนี้

เหลือแค่เวลาประมาณ 120 วัน

สำหรับการใช้ชีวิตใน ฐานะนักเรียน

สำหรับการใช้ชีวิตใน การอ่านหนังสือ

สำหรับการใช้ชีวิต กับการสอบ

สำหรับการใช้ชีวิต การเดินตามความฝัน

ถ้าใครยังไม่ได้เริ่ม นั่นยังไม่สาย แต่ต้องพยายามให้มาก

ถ้าคนที่คิดว่าทำเต็มความสามารถแล้ว จงทำให้เกินความสามารถ

ทุกวินาทีที่เหลือ อย่างมีค่า

ทำทุกอย่างให้เต็มที่

จะได้มีเสียใจภายหลัง

อนาคตอยู่ในมือคุณ !!

วิธีแก้ง่วงเวลาอ่านหนังสือ


1. นั่งหลังตรงครับ เมื่อไหร่ที่เริ่มงอและเริ่มคลานนั่นคืออาการของความง่วงแล้วครับ

2. หยุดพักสายตาจากการอ่านหนังสือสักพักครับ เงยหน้าขึ้นมามองวิวทิวทัศน์ซักหน่อย

3. ล้างหน้าล้างตากันสักนิด ออกเดินทางไปห้องน้ำสักหน่อย เป็นไปได้ก็ไปโปเตโต้กันในห้องน้ำนะครับ -*- “ลืมตาในน้ำ” 55+ อื้อช่วยได้ลองดู หลังจากเป็นโปเตโต้กันแล้วเราจะกลายเป็นโมเดินด๊อกกันต่อเลย “ตาสว่าง” 55+ พอ ๆ ขอโทษครับ อย่าเพิ่งปิดครับ อ่านต่อเถอะ ผมจะไม่เล่นมุขอีกแล้วค๊าบบ เอิ้ก ๆ

4. ชวเลขแก้เซ็ง งงอ่าดิ 55+ มันก็คือการ Short note นั่นแหล่ะครับ มันจะช่วยให้เราคิดในสิ่งที่ได้ฟังได้รับและถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ ทำให้เรามีสติในการเรียนการอ่านมากยิ่งขึ้นครับ นอกจากทำให้หายง่วงแล้ว ยังเป็นการทบทวนความรู้ไปในตัวด้วยครับ

5. ยืดเส้นยืดสายกันดีกว่า ลองวางหนังสือและลุกขึ้นมาเต้นท่าบ้า ๆ บอ ๆ หน้ากระจกสัก 1 นาทีครับ เอาให้เตลิดสุด ๆ ไปเลย หรือไม่จะกระโดดตบหรืออะไรก็ได้ครับ มันจะทำให้ร่างกายของเราหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งออกมา แล้วทำให้เราไม่ง่วง ทดลองดูได้ครับ ก่อนนอนไปวิ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ สักหลาย ๆ รอบแล้วมานอนดู เราจะนอนไม่หลับ หรือถ้าจะหลับก็ใช้เวลานานมาก ๆ

6. จ้างวานคนแถวนั้น ถ้าเป็นที่โรงเรียนก็เพื่อน ๆ ถ้าเป็นบ้านก็พ่อแม่พี่น้อง ให้เค้าคอยดูคอยเรียกด้วยถ้าหลับ ของพวกผมที่อยู่ในห้องเรียนเวลาใครหลับจะตกลงกันเลยให้รุมกัน “อั๊ก” (ทุบหลัง) ได้เลย 55+ ช่วยได้มากครับ มันจะไม่มีใครกล้าหลับเลย เพราะทุกคนในห้องมันจ้องอยู่ แนวว่า “หลับเมื่อไหร่น่ารักตาย”

7. นกหวีดช่วยชีวิต อันนี้ก็ง่าย ๆ ครับ ลุกขึ้นมาเป่านกหวีดปี๊ดดดดด.... ~ ดัง ๆ เอาให้สุดลมหายใจ และให้แสบแก้วหูสุด ๆ ไปเลย ช่วยได้เหมือนกัน

8. ตะโกนให้กำลังใจตัวเองไปเลยครับ ประกาศให้คนทั่วบริเวณนั้นได้รับรู้ 55+ “กุเก่งว้อยยย!!” “กุไม่ง่วงหรอกเว้ยยย” “อีกนิดเดียวจะเสร็จแล้ววู้ยยย” “สู้เค้าโว้ยย” อะไรก็แล้วแต่อ่ะ คิด ๆ กันขึ้นมา 55+

9. รับบทนางเอกเจ้าน้ำตาครับ หลังจากวิธีธรรมดามันเอาไม่อยู่ -*- ซาดิสต์กันขึ้นมาอีกระดับ อันนี้ผมไม่แนะนำให้ทำกันนะครับ แต่บางครั้งสถานการณ์เลวร้าย สอบพรุ่งนี้เรายังไม่ได้อ่านสักตัวเลย วิธีนี้ก็ช่วยได้ ทาถู ๆ ตรงโหนกแก้วต้าอ่ะครับ สักพักจะเกิดอาการเศร้าซึ้ง น้ำตาพรากกันเลยทีเดียว ไม่หลับชัวร์ครับ

10. แก้ง่วง 7 บาท อันนี้ต้องขอบคุณบทความในเด็กดีครับ ผมเคยอ่านเจอ เค้าบอกให้ไปซื้อน้ำแข็งถุงละ 7 บาทมาใส่กะละมังแล้วเอาเท้าแช่น้ำเย็น ๆ ในนั้นอ่ะครับ ผมเองก็ยังไม่เคยลองเหมือนกันแต่เห็นเค้าว่ามาแบบนี้ ใครลองแล้วว่าไงก็มาบอกกันบ้างแล้วกันครับ

ตำนานตะเกียงฟักทอง


ตำนานตะเกียงฟักทองหรือ ประเพณีแจ็ค โอ แลนเทริน (Jack-O-Lanterns) ตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ได้เล่าไว้ว่า มีผู้ชายชื่อว่า แจ็ค โอ แลนเทิร์น ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องดื่มเหล้าเมายาและมีกลลวงมากมาย เคยหลอกให้ซาตานปีนขึ้นไปบนต้นไม้ หลังจากนั้นแจ็คก็จะจัดการแกะสลักรูปไม้กางเขนลงไปบนลำต้นของต้นไม้นั้น ซึ่งทำให้ซาตานลงจากต้นไม้ไม่ได้ แล้วแจ็คก็ได้ทำการต่อรองกับซาตานว่าถ้าซาตานจะไม่จับตัวเขาไปเขาสัญญาว่าจะปล่อยซาตานลงจากต้นไม้นั้น

หลังจากแจ็ค โอ แลนเทริน ได้ตายไปแล้ว เขาปฏิเสธที่จะขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เพราะเขามีความคิดไปในทางของความชั่วร้าย แต่เขาก็ยังปฏิเสธที่จะไปอยู่ที่นรกเพราะเขาได้ทำข้อตกลงกับซาตานไว้ดั้งนั้นซาตานได้ให้ถ่านไฟแก่เขาหนึ่งก้อนแทน เพื่อที่จะให้เขาใช้นำทางไปในทางที่มืดและหนาวเย็น ถ่านไฟก้อนนั้นได้ถูกใส่ไว้ข้างในของผักกาดที่กลวงแล้วเพื่อที่จะให้มันจุดอยู่ได้นาน

คนอังกฤษใช้ผักกาดกลวงนี้ตามแบบอย่างดั้งเดิมของ แจ็ค โอ แลนเทรินแต่เมื่อมีการโยกย้ายไปสู่อเมริกาพวกเขาพบว่าฟักทองนั้นสามารถหาได้ง่ายกว่าผักกาด ดังนั้นรูปแบบแจ็ค โอ แลนเทรินในอเมริกาจะอยู่ในรูปของฟักทองกลวงและใส่ถ่านไฟไว้ข้างใน

ในทุกๆวันนี้มีโบสถ์เป็นจำนวนมากที่ได้มีการจัดงานปาร์ตี้วันฮาโลวีน รวมถึงสถานบันเทิงต่างๆ อีกหลายแห่งยังไงก็อย่าลืม “เมาไม่ขับ” นะคะจะได้ฉลองปาร์ตี้ฮาโลวีนกันได้สนุกแถมยังไม่สร้างปัญหาให้สังคมด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก
คุณกนกวรรณ ทองตะโก นักวรรณศิลป์ ๕ กองธรรมศาสตร์และการเมือง

History of Halloween


Halloween is a holiday celebrated on the night of October 31. Traditional activities include trick-or-treating, bonfires, costume parties, visiting "haunted houses" and carving jack-o-lanterns. Irish and Scottish immigrants carried versions of the tradition to North America in the nineteenth century. Other western countries embraced the holiday in the late twentieth century including Ireland, the United States, Canada, Puerto Rico and the United Kingdom as well as of Australia and New Zealand.
Halloween has its origins in the ancient Celtic festival known as Samhain (pronounced "sah-win").

The festival of Samhain is a celebration of the end of the harvest season in Gaelic culture. Samhain was a time used by the ancient pagans to take stock of supplies and prepare for winter. The ancient Gaels believed that on October 31, the boundaries between the worlds of the living and the dead overlapped and the deceased would come back to life and cause havoc such as sickness or damaged crops.

The festival would frequently involve bonfires. It is believed that the fires attracted insects to the area which attracted bats to the area. These are additional attributes of the history of Halloween.

Masks and consumes were worn in an attempt to mimic the evil spirits or appease them.

Trick-or-treating, is an activity for children on or around Halloween in which they proceed from house to house in costumes, asking for treats such as confectionery with the question, "Trick or treat?" The "trick" part of "trick or treat" is a threat to play a trick on the homeowner or his property if no treat is given. Trick-or-treating is one of the main traditions of Halloween. It has become socially expected that if one lives in a neighborhood with children one should purchase treats in preparation for trick-or-treaters.

The history of Halloween has evolved. The activity is popular in the United States, the United Kingdom, Ireland, Canada, and due to increased American cultural influence in recent years, imported through exposure to US television and other media, trick-or-treating has started to occur among children in many parts of Europe, and in the Saudi Aramco camps of Dhahran, Akaria compounds and Ras Tanura in Saudi Arabia. The most significant growth — and resistance is in the United Kingdom, where the police have threatened to prosecute parents who allow their children to carry out the "trick" element. In continental Europe, where the commerce-driven importation of Halloween is seen with more skepticism, numerous destructive or illegal "tricks" and police warnings have further raised suspicion about this game and Halloween in general.

In Ohio, Iowa, and Massachusetts, the night designated for Trick-or-treating is often referred to as Beggars Night.

Part of the history of Halloween is Halloween costumes. The practice of dressing up in costumes and begging door to door for treats on holidays goes back to the Middle Ages, and includes Christmas wassailing. Trick-or-treating resembles the late medieval practice of "souling," when poor folk would go door to door on Hallowmas (November 1), receiving food in return for prayers for the dead on All Souls Day (November 2). It originated in Ireland and Britain, although similar practices for the souls of the dead were found as far south as Italy. Shakespeare mentions the practice in his comedy The Two Gentlemen of Verona (1593), when Speed accuses his master of "puling [whimpering, whining], like a beggar at Hallowmas."

Yet there is no evidence that souling was ever practiced in America, and trick-or-treating may have developed in America independent of any Irish or British antecedent. There is little primary Halloween history documentation of masking or costuming on Halloween — in Ireland, the UK, or America — before 1900. The earliest known reference to ritual begging on Halloween in English speaking North America occurs in 1911, when a newspaper in Kingston, Ontario, near the border of upstate New York, reported that it was normal for the smaller children to go street guising (see below) on Halloween between 6 and 7 p.m., visiting shops and neighbors to be rewarded with nuts and candies for their rhymes and songs. Another isolated reference appears, place unknown, in 1915, with a third reference in Chicago in 1920. The thousands of Halloween postcards produced between the turn of the 20th century and the 1920s commonly show children but do not depict trick-or-treating. Ruth Edna Kelley, in her 1919 history of the holiday, The Book of Hallowe'en, makes no mention of such a custom in the chapter "Hallowe'en in America." It does not seem to have become a widespread practice until the 1930s, with the earliest known uses in print of the term "trick or treat" appearing in 1934, and the first use in a national publication occurring in 1939. Thus, although a quarter million Scots-Irish immigrated to America between 1717 and 1770, the Irish Potato Famine brought almost a million immigrants in 1845–1849, and British and Irish immigration to America peaked in the 1880s, ritualized begging on Halloween was virtually unknown in America until generations later.

Trick-or-treating spread from the western United States eastward, stalled by sugar rationing that began in April 1942 during World War II and did not end until June 1947.

Early national attention to trick-or-treating was given in October 1947 issues of the children's magazines Jack and Jill and Children's Activities, and by Halloween episodes of the network radio programs The Baby Snooks Show in 1946 and The Jack Benny Show and The Adventures of Ozzie and Harriet in 1948. The custom had become firmly established in popular culture by 1952, when Walt Disney portrayed it in the cartoon Trick or Treat, Ozzie and Harriet were besieged by trick-or-treaters on an episode of their television show, and UNICEF first conducted a national campaign for children to raise funds for the charity while trick-or-treating.


Trick-or-treating on the prairie. Although some popular histories of Halloween have characterized trick-or-treating as an adult invention to rechannel Halloween activities away from vandalism, nothing in the historical record supports this theory. To the contrary, adults, as reported in newspapers from the mid-1930s to the mid-1950s, typically saw it as a form of extortion, with reactions ranging from bemused indulgence to anger. Likewise, as portrayed on radio shows, children would have to explain what trick-or-treating was to puzzled adults, and not the other way around. Sometimes even the children protested: for Halloween 1948, members of the Madison Square Boys Club in New York City carried a parade banner that read "American Boys Don't Beg."

Halloween วันฮาโลวีน \\('~')//




31 ตุลาคม วันฮาโลวีนไม่ว่าจะของปีนี้หรือปีไหน หลายคนรู้จักกันดีว่าเป็น วันปล่อยผีหรือวันฮาโลวีน สัญลักษณ์วันฮาโลวีนประจำประเพณีนี้คือ หัวฟักทองเจาะตา เจาะปาก ที่จะดูว่าน่ารักก็ได้ ดูน่ากลัวก็ไม่ใช่น้อย แต่ใครเลยจะรู้ว่าในความเป็นจริง วันฮาโลวีนนั้น เป็นวันที่มีความหมายทางศาสนามากพอกับวันคริสต์มาสเลยทีเดียว

คำว่า "Halloween" มาจากคำของคริสตังคาทอลิกดั้งเดิม คือ เย็นวันสุกดิบก่อนฉลองนักบุญทั้งหลาย (All Hallow's Day หรือ All Saint's Day) เขาเขียนว่า "Hallow's Evening" (เย็นวันสุกดิบของวันฉลองนักบุญทั้งหลาย) และก็กลายเป็น "Hallow's e'en" จนกลายเป็น "Halloween" ในที่สุด แท้จริงในทางพิธีกรรม คาทอลิกของเรา คริสตังจะมีธรรมเนียมที่พระสงฆ์จะต้องถวายมิสซา 3 มิสซา ในวันระลึกถึงผู้ล่วงลับ นั่นคือ มิสซาเย็นก่อนวันที่ 2 พฤศจิกายน, มิสซารุ่งอรุณวันที่ 2 พฤศจิกายน และมิสซา เช้าหรือสายของวันที่ 2 พฤศจิกายน พระสงฆ์จะถวายมิสซาทั้งสามในวันที่ 2 พฤศจิกายน ทั้ง 3 มิสซาเลยก็ได้ เพียงแต่มิสซาแรกของเย็นก่อนวันที่ 2 ทำให้มีความคล้ายคลึงกับธรรมเนียมโบราณของคริสตังไอริชที่จะคิดถึงผู้ล่วงลับอื่นๆ ก่อนวันฉลองนักบุญทั้งหลายส่วนในวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (รวมทั้งบรรดาคริสตังผู้ล่วงลับผู้ที่ได้รับชัยชนะอยู่บนสวรรค์ทุกคน)

การตกแต่งฉากหากงานปาร์ตี้อยู่ในบ้าน ขอแนะนำให้ทำห้องหนึ่งเป็นฉาก "นรก" และมีป้ายติดไว้หน้าห้องนี้ว่า "จงละทิ้งความหวัง, ทุกคนที่เข้ามาในนี้" มีผ้าปิดประตู และทำเงามืดรูปปีศาจปรากฏบนผ้าผืนนี้ด้วยไฟฉายจากในห้อง ทำเงาให้เท่าขนาดคนจริงมีการเปิดเพลงทำนองลึกลับเป็นบรรยากาศ เพื่อให้เด็กเกรงกลัวนรก, หากจัดนอกบ้าน อาจแขวนรูปปีศาจหรือโครงกระดูกเพื่อให้เด็กๆ ระลึกถึงความตายที่ละทิ้งพระเจ้า

การปฏิบัติในคืนวัน "ฮาโลวีน"

พวกเด็กๆ จะสนุกสนานมากในคืนวัน "ฮาโลวีน" เพราะพวกเขาจะได้แต่งตัวเลียนแบบคนตาย เช่น เป็นโจรสลัด, กัปตัน, โครงกระดูก, หญิงในสมัยโบราณ หรือสุดจะคิด ค้นกันขึ้นมาอย่างในสมัยปัจจุบัน และก็เดินไปเคาะประตูตามบ้านต่างๆ เพื่อขอขนม, ลูกกวาด ฯลฯ โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกฟักทองล้วงเนื้อออกเพื่อใส่เทียนเข้าวางไว้ และจะมี แสงสว่างออกมาจากรูจมูก, ลูกตาและปากที่เจาะไว้บนลูกฟักทอง ตั้งไว้หน้าบ้าน เด็กๆ จะเคาะประตูและเมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตู พวกเขาก็จะร้องทักว่า "Trick or Treat" ซึ่งเด็กๆ ทั่วไปก็เป็นเพียงคำพูดไร้เดียงสา เพื่อพูดตามธรรมเนียมการขอขนม พวกเขาไม่เข้าใจความหมายแท้จริงของมัน เพราะว่าคำว่า "Trick or Treat" คำนี้ เป็นคำ คล้ายคำพูดของพวกบูชาลัทธิปีศาจ ทำนองว่า ทำสนธิสัญญาตกลงกับมันหรือไม่ก็จะมีการล่อลวงเพราะพวกเด็กๆ จะแต่งตัว เป็นผู้ล่วงลับหรือผี ก็มาขู่เจ้าของบ้าน เด็กๆ ไม่เข้า ใจความหมาย แท้จริง ก็เลยพูดกันมาตามธรรมเนียม และพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร เพียงแต่สนุกสนานเท่านั้น พวกเจ้าของบ้านเมื่อเอาขนม, ลูกกวาดออกมาให้แล้ว บางแห่ง ก็จะมีการร้องเพลงให้แก่บ้านนั้น ซึ่งบางแห่งดั้งเดิมก็จะสวดภาวนาให้แก่เจ้าของบ้าน หรืออุทิศแด่วิญญาณผู้ล่วงลับ เราไม่จำเป็นต้องทำให้เด็กเสียความรู้สึกกับคำว่า "Trick or Treat" แต่ควรสอนเด็กๆ ว่า ปีศาจซ่อนเร้นอยู่ในรูปภายนอกที่ดูสวยงามคอยหลอกลวงเรา คล้ายมันใส่หน้ากาก หลอกลวงผู้คนเพื่อปิดบังโฉมหน้าแท้จริงของมัน พระ คัมภีร์กล่าวว่า "เราทั้งหลายรู้ว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป แต่พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา และมารร้ายไม่แตะต้องเขา เราทั้งหลาย รู้ว่าเราเกิดจากพระ เจ้า และโลกทั้งสิ้นอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย" (1ยน. 5:18-19)

ธรรมเนียมการขอขนมก็มาจากประเทศอังกฤษอีกธรรมเนียมหนึ่ง คือ ธรรมเนียมวัน "กี ฟอว์เก" อันเป็นวันฉลองต่อต้านพวกคาทอลิกในประเทศอังกฤษ "กี ฟอว์เก" เป็น คนไม่รอบคอบแต่มีหน้าที่ดูแลคลังดินปืน ที่วางแผนจะระเบิดรัฐสภาของอังกฤษ และกษัตริย์เจมส์ ที่ 1 ทรงรู้เข้าเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1605, นาย "กี ฟอว์เก" ถูกตัดสิน ประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ช่วงนี้เองที่บรรดาพวกนึกสนุกก็จะสวมหน้ากากและไปเยี่ยมเยียน บ้านชาวคาทอลิกที่กำลังถูกเบียดเบียนตอนกลางคืนและขอขนมเค้กและเบียร์ มาทานกัน วัน "กี ฟอว์เก" มาถึงประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมกับการตั้งนิคมใหม่ของชาวอังกฤษพวกแรกบนทวีปอเมริกา กษัตริย์เจมส์ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากวิถีชีวิต แต่ ธรรมเนียม ปฏิบัติยังคงสนุกสนานเกินกว่าจะลืมเลือนได้ ที่สุดเพราะวัน "กี ฟอว์เก" ซึ่งตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน ใกล้กับวันฉลองนักบุญทั้งหลาย ก็เลื่อนเอาธรรมเนียมขอ ขนมตามบ้านตอนกลางคืนมาไว้กับวัน "ฮาโลวีน" พร้อมกับการแต่งตัวแปลกๆ ด้วยเลย

แม้ว่า การจัดงาน วัน "ฮาโลวีน" ในปัจจุบันจะไม่บ่งถึงต้นตอของที่มาทางความคิด เรื่อง "นักบุญ", และ "ผู้ล่วงลับ" อีกทั้งกลายเป็นงาน "ปาร์ตี้" ทางโลกเต็มตัวไปแล้ว แต่ผมเชื่อว่าหากความสนุกสนานจะมีควบคู่ไปกับชีวิตเราแล้วล่ะก้อ, วัน "ฮาโลวีน" ในฐานะเป็นงานสังสรรค์และเพิ่มสีสันให้กับชีวิตก็ไม่น่ารังเกียจอะไร โดยยังมีความหมายว่า "นรก" มีจริง และ "เราควรจะหลีกเลี่ยงให้ได้", วัน "ฮาโลวีน" น่าจะเตรียมเราให้ระลึกถึงผู้ที่จากเราไปก่อนล่วงหน้าในความเชื่อ, พวกเขาได้อยู่บนสวรรค์ และพวกที่ยังต้อง ชดใช้โทษบาปในไฟชำระ หากใครบางคนหลีกเลี่ยงงาน "ฮาโลวีน" ไม่ได้จริงๆ หรือมีคนมาทักว่างานนี้จะทำให้เด็กๆ กลับไปบูชาปีศาจ ผมก็แนะนำให้บอกต้นตอการเกิดวัน " ฮาโลวีน" ที่แท้จริงแก่พวกเขา และให้พวกเขาได้รู้จัก รากความเชื่อแท้จริงของคาทอลิกอันเกี่ยวกับความตาย, นักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ และวิญญาณในไฟชำระอันเป็นความเชื่อสำคัญ อันหนึ่งของเรา

เครื่องดื่ม

โดยธรรมเนียมแล้ว วัน "ฮาโลวีน" เป็นวันถือศีล และไม่ดื่มสุราหรืออาหารฟุ่มเฟือย อาจมีโซลเค้ก (Soul Cake) ซึ่งเป็นขนมตามธรรมเนียมดั้งเดิมของงานวัน "ฮาโลวี น", หรืออาหารที่ไม่ใช่เนื้อ และเมื่อได้รับโซลเค้กให้สวดภาวนาแด่ผู้ล่วงลับเป็นการตอบแทน (อย่างไรก็ดี นี่เป็นละครในงานวัน "ฮาโลวีน" ไม่ใช่พิธีกรรม ดังนั้นการจัดงาน เลี้ยงในบ้านเราคงจะต้องมีขนม, น้ำ และอาหารเป็นธรรมดา) ลูกฟักทองแกะสลักหน้าผี, แม่มด, แมว, ผีดิบ, ก่อกองไฟ เหล่านี้ไม่มีรากฐานความเชื่อคาทอลิกในงานวัน "ฮาโลวี น" คงเป็นสิ่งที่รับมาจากพิธีกรรมของพวกเซลติกเกี่ยวกับเทพแห่งความตายมารวบรวมวิญญาณคนชั่วช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูเก็บเกี่ยว (31 ตุลาคม) หรือไม่ก็นำมาใส่ไว้ใน ช่วงปีหลังๆ ยุคสมัยของเรา

ประเพณีวันฮาโลวีนในประเทศทางยุโรป

วันฮาโลวีนอังกฤษ
ที่ประเทศนี้ถือว่าวันฮาโลวีนนี้เป็นวันดี เหมาะสำหรับจัดงานแต่งงาน การทำนายโชคชะตา หรือแม้แต่เรื่องความตายยังถือว่า วันนี้เป็นเพียงวันเดียวที่ภูติผีวิญญาณจะ ช่วยดลบันดาลให้สิ่งที่คนเป็นต้องการสามารถเป็นไปตามใจปรารถนา ประมาณเที่ยงคืนของวันฮาโลวีนสาวอังกฤษจะออกมาหว่าน และไถกลบเมล็ดป่าน พร้อมตั้งจิตอธิษฐาน และท่องคาถาร้องขอให้มองเห็นภาพของว่าที่คู่ชีวิตของตนในอนาคต เมื่อสาวเจ้าเหลียวมองผ่านบ่าด้านซ้ายก็จะได้เห็นภาพนิมิตของผู้ที่จะมาเป็นสามีของตนในอนาคต
อีกประเพณีหนึ่งของชาวอังกฤษ คือ การหย่อนเหรียญ 6 เพนนีลงในอ่างน้ำ พร้อมแอปเปิ้ล ผู้ใดสามารถแยกแยะของสองสิ่งนี้ออกจากกันได้โดย ใช้ปากคาบเหรียญ และ ใช้ส้อมจิ้มแอปเปิ้ลให้ติดได้ในครั้งเดียว ผู้นั้นจะมีโชคดีตลอดปีใหม่ที่กำลังจะมาเยือน

วันฮาโลวีนอเมริกา
ประเพณีวันฮาโลวีนของประเทศมหาอำนาจนี้ดูจะเป็นที่รู้จักแพร่หลายกว่าประเพณีของชาวอังกฤษ นั่นก็คือ ประเพณี Trick or Treat ที่จะให้เด็กๆ แต่งหน้า แต่งตัว เป็นผีเดินไปเคาะประตูตามบ้านต่างๆ เพื่อร้องขอขนมเค้กสำหรับวิญญาณ (Soul cake) พร้อมกับส่งเสียงทักทายว่า “Trick or Treat” หากเจ้าของบ้านตอบว่า Trick จะถูกเด็กๆ แกล้ง แต่ถ้าตอบว่า Treat เจ้าของบ้านหลังนั้นก็ต้องนำขนมเค้กมาให้พวกเด็กจนกว่าเขาจะพอใจ

เด็กที่แต่งตัวเป็นภูติผีวิญญาณเปรียบเหมือนสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างคนเป็นและคนตาย โดยเจ้าของบ้านที่ให้ขนมแก่เด็กๆ สามารถฝากคำอธิษฐานไปถึงคนตาย ได้ด้วย ดังนั้น ยิ่งเด็กๆ ขอขนมได้มากเท่าใด วิญญาณที่ยังเวียนวนอยู่ในรกก็จะยิ่งได้รับส่วนบุญ และมีโอกาสขึ้นสวรรค์มากยิ่งขึ้นด้วย

ดูแลตัวเองตอนน้ำท่วม


สิ่งที่ต้องระวังให้มากเลยคือโรคภัยที่มากับน้ำ ลองคิดดูนะครับ ตอนแห้งๆ พวกแหล่งขยะหรือสิ่งปฏิกูลก็อยู่กันเป็นที่เป็นทางเน่าๆ ของมันไป แต่พอได้น้ำมาเป็นพาหนะ ก็เหมือนเชื้อโรคและความสกปรกมีขา สามารถนำพากันมาใกล้หนุ่มๆ มากขึ้น ดังนั้นน้ำท่วมที่ดูเหมือนไม่มีอะไร จะเป็นแหล่งเชื้อโรคชั้นดีเลย จะมีโรคอะไรที่หนุ่มๆ ต้องเฝ้าระวังบ้างตอนน้ำท่วมมาอ่านกันครับ



โรคทางเดินหายใจ ตอนน้ำท่วมนอกจากทางเดินหายไป หนุ่มๆ ต้องระวังเรื่องทางเดินหายใจด้วย สุดฮิตอย่าง หวัด หวัดใหญ่ ปอดบวมหนุ่มๆ จะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ คัดจมูก มีน้ำมูก ไอ จาม เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร

การดูแลตัวเอง ดูแลร่างกายให้อบอุ่น (ใครโสดระวังขาดความอบอุ่น) ถ้าลงลุยน้ำก็ให้รีบขึ้นอย่าแช่นาน ไม่สวมเสื้อผ้าเปียกหรือชื้น ตอนไอหรือจามปิดปากและจมูกด้วยกระดาษชำระ ป้องกันการแพร่เชื้อ ล้างมือเป็นประจำ

โรคทางเดินอาหาร ช่วงนี้อาหารการกินต้องระวังกว่าปกติ เพราะอาจเป็นโรคอุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ อหิวาตกโรค บิด ไทฟอยด์ ลักษณะอาการจะ ถ่ายอุจจาระเหลว หรือถ่ายมีมูกเลือด ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร

การดูแลตัวเอง เวลานี้เจออาหารกระป๋องบ่อย ต้องตรวจเช็ควันหมดอายุให้ดี กระป๋องไม่บวมบุบหรือเป็นสนิม กินอาหารปรุงสุกและดื่มน้ำสะอาด


โรคฉี่หนู (โรคเลปโตสไปโรซิส) อีกโรคน่ากลัวที่มากับน้ำ หนุ่มที่ป่วยจะปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เป็นมากบริเวณน่อง โคนขาและหลัง มีไข้ขึ้นสูงทันที บางคนมีอาการตาแดง มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ไอมีเลือดปน ตัวเหลือง ปัสสาวะน้อย



โรคน้ำกัดเท้า คันตามซอกนิ้วเท้า ผิวหนังอักเสบบวมแดง ผิวหนังลอกเป็นขุย เท้าเปื่อยและเป็นหนอง มีผื่นพุพอง

การดูแลตัวเอง การดูแลทั้งสองโรคนี้เหมือนกันคือ หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำเหยียบโคลน ถ้าจำเป็นให้สวมรองเท้าบูท หนุ่มที่มีแผลยิ่งต้องระวังให้มากอย่าให้แผลสัมผัสน้ำ หลังโดนน้ำล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่ทุกครั้งและเช็ดเท้าให้แห้ง



โรคตาแดง หนุ่มจะมีอาการระคายเคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล มีขี้ตามาก หนังตาบวม เยื่อบุตาขาวอักเสบแดง อาจเริ่มที่ตาข้างหนึ่งก่อน แล้วลามไปตาอีกข้างหนึ่ง

การดูแลตัวเอง ถ้ารู้สึกระคายเคืองตาจากอะไรก็ตาม อย่าแก้ไขด้วยการขยี้ตา ควรรีบล้างด้วยน้ำสะอาดทันที ส่วนหนุ่มที่เป็นโรคตาแดงก็อย่าใช้ของส่วนตัวร่วมกับคนอื่น ส่วนถ้ามีเพื่อนเป็น ช่วงนี้ไม่ใช่จะมาวัดว่าใจไม่ใจ ลองอยู่ห่างกันสักพักจนกว่าจะหาย เพราะเดี๋ยวจะทำให้โรคแพร่ระบาดไปกันใหญ่ครับ

"เดิน" ฝ่าสายฝน เปียกน้อยกว่า "วิ่ง" จริงดิ ?!?


นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลอง ด้วยการชั่งเพื่อหาน้ำหนักของคนๆ คนนั้น ก่อนที่จะปล่อยให้ไปลุยฝน แล้วกลับมาชั่งน้ำหนักใหม่ในสภาพเสื้อกำลังอุ้มน้ำชุ่มๆ โดยครั้งแรกฝ่าฝนด้วยการเดิน และครั้งที่สองฝ่าฝนด้วยการวิ่ง เพื่อดูว่าการฝ่าสายฝนแบบไหนที่รับน้ำฝนมากกว่ากัน และแล้วก็ผิดคาดมากๆ เมื่อการลุยฝนด้วยการเดินเปียกน้อยกว่าการวิ่ง


ลองจินตนาการให้ฝนตกลงมา เราจะรู้ได้ว่าฝนนั้นตกในแนวดิ่ง ดังนั้น ถ้าเราใช้วิธีการเดิน อวัยวะของเราก็จะอยู่ในลักษณะคงที่ เราก็จะเปียกจากน้ำฝนที่ตกลงมาในแนวดิ่ง แต่ถ้าเมื่อใดที่เราวิ่ง เรากำลังเข้าหาสายฝนในแนวนอน เมื่อนั้นจะเกิดแรงต้าน ฝนก็พุ่งแนวเฉียงเข้าหาตัวเราเอง (เคยสังเกตมั้ยว่าบางทีเราวิ่ง หรือเดินเร็วๆ จะรู้สึกเหมือนฝนมันสาดเข้าหาเรามากขึ้น นึกว่าลมพัด ที่ไหนได้ทำตัวเองแท้ๆ -*-) การเคลื่อนที่ของร่างกาย เป็นการเพิ่มพื้นที่เปียกมากขึ้นด้วย ส่วนจะเปียกมากน้อยแค่ไหนส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับความเร็วในการเคลื่อนที่ พูดง่ายๆ ก็คือ ความเร็วที่มากขึ้น มีผลให้น้ำฝนที่ตกลงมีแรงปะทะเข้ากับตัวเองมากกว่าตอนที่เดิน
อกจากนี้ตัวแปรที่มีผลต่อความเปียก ยังมีตัวแปรเรื่องของระยะทาง ถ้าไกลมากก็เปียกมาก, ความเร็วของลม ถ้าลมแรง แล้วยังจะวิ่งต้านลมเข้าไปอีก ทีนี้ล่ะเปียกปอนทั้งตัวแน่ๆ นอกจากนี้ก็ยังมีตัวแปรในเรื่องของพื้นที่หน้าตัดของวัตถุ(คน) ในการวิ่งหรือเดิน รวมทั้งปริมาณน้ำฝนด้วย


แต่ในมุมมองของพี่มิ้นท์ คิดว่า ถ้าเราไม่มีร่มจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าเดินหน้าตาเฉยนะ แต่ควรเดินด้วยความเร็วระดับหนึ่ง เพื่อให้ถึงบ้านหรือที่หลบฝนไวๆ เพราะถ้าเรามัวแต่เดินเอ้อระเหย ในขณะที่ฝนตกลงมาเรื่อยๆ สุดท้ายเราก็เปียกเยอะอยู่ดี ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งเปียกมากขึ้นเท่านั้นนะคะ
ยังไงก็ตาม ทางที่ดีที่สุด ก็คือ การพกร่มในหน้าฝน หรือ ถ้าเห็นท่าไม่ดี ท้องฟ้ามืดตื๋อ ก็รีบหาที่กำบัง รับรองปลอดภัย หายเปียก!!

:http://www.dek-d.com/

วิธีเดาขั้นเทพให้ได้คะเเนนสอบเข้ามหาลัย 60%


ในการทำข้อสอบจริงๆ เเม้ว่าเราจะเตรียมตัวไปดีเพียงใดก็ตาม มันย่อมมีการทำไม่ได้เกิดขึ้นบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เเต่เนื่องด้วยข้อสอบเข้าสถาบันดังๆนั้น มักจะเป็นข้อสอบเเบบปรนัย(ให้กาเลือกข้อถูก) นั่นทำให้เป็นความโชคดีของเราเเล้วครับ เพราะไม่ว่าเราจะทำได้ หรือเดาถูก มันก็ได้คะเเนนเท่าๆกัน



ในการเดาทั่วไป กับข้อสอบที่มี 4 ช็อยส์เเล้ว หากเดาเเบบไม่มีหลักการใดๆเลย เช่นการตั้งดินสอแล้วปล่อยให้มันตก, การนั่งเล่นจั้มจี้มะเขือเปาะแปะ ฯลฯ เราจะมีโอกาสถูก 1 ใน 4 หรือ 25% เเต่ถ้าเราเดาเเบบมีหลักการเเบบที่พี่หงวนทำตอนสอบนั้น เราจะมีโอกาสถูกมากกว่านั้นครับ ++!



วิธีการเดาประกอบการทำเเบบเหนือเทพฯมีดังนี้ครับ

1. ให้ทำข้อที่ทำได้ไปก่อนเเล้วเว้นข้อที่ยังทำไม่ได้เอาไว้ก่อน ให้กาเฉพาะข้อที่มั่นใจว่าทำถูกเท่านั้น เเละถ้าข้อไหนยังทำไม่ได้เเต่สามารถตัดช็อยที่มั่นใจว่าไม่ใช่เเน่ๆทิ้งได้ ก็ให้ตัดทิ้งไปก่อนเลย โดยการมาร์คหรือขีดฆ่าลงไปในชีสข้อสอบเพื่อเเสดงว่าข้อไหนไม่เอาเเน่ๆ(ไม่ ใช่กระดาษคำตอบนะครับ) เเละก่อนหมดเวลาประมาณ 5 นาที่ ให้เริ่มทำข้อ 2 ต่อครับ

2. ให้จัดการกับข้อที่ตัดเหลือ 2 ช็อยส์ก่อน เดาหรือทำให้เสร็จซะเเล้วกาลงไปเลย (เอาข้อที่คิดว่าใช่ที่สุดเเหละครับ กาไปเลย)

3. ให้นับว่ากาช็อยไหนไปเเล้วน้อยที่สุด เเล้วให้ดิ่งช็อยส์นั้นทั้งหมดไปเลย



ถ้าเราทำได้จริงๆเเค่ 40% ของข้อสอบทั้งหมด(ซึ่งได้แน่ๆถ้าเราเตรียมตัวแบบที่พี่หงวนเขียนในบทก่อนหน้านี้ทั้งหมดจนคล่องครับ)เมื่อ รวมกับการเดาวิธีนี้ ซึ่งจะทำให้เราเดาถูกอย่างน้อย 1 ใน 3 ของ 60% ที่เหลือ ซึ่งคิดเป็นคะเเนนสอบอีก 20% เเล้ว จะทำให้เราสอบได้คะเเนน 60% พอดิบพอดีครับ



ข้อเเนะนำเเละข้อควรระวัง

1. อย่าโลภ คิดว่าถ้าเรากาสุ่มๆ มีโอกาสได้มากกว่าที่พี่หงวนบอก เพราะการเดาข้อสอบที่มี 4 ช็อยส์นั้น เรามีโอกาสเเค่ 1 ใน 4

การกาผิดมันง่ายกว่ากาให้ถูกนะครับ ยังไงก็น้อยกว่าวิธีของพี่หงวนอยู่ดีครับ

2. ถ้าเราทำผิดเยอะ การเดาวิธีนี้จะทำให้เราผิดเเบบทับซ้อน เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวเเบบที่บรรยายในบทก่อนหน้านี้ทั้งหมด ยังเป็นสิ่งจำเป็นต้องฝึกทำเเบบฝึกหัดเยอะๆก่อนเข้าห้องสอบด้วยครับ

3. ในทางกลับกัน ถ้าเรายิ่งทำของเดิมถูกมากเท่าไร เราก็จะได้คะเเนนที่เพิ่มจากการเดาเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นครับ

4. เราสามารถเพิ่มโอกาสในการเดาถูกได้โดยการไปหาข้อสอบของปีก่อนๆมานับ และให้ลองนับย้อนหลังสัก 4-5 ปี ว่าคนออกข้อสอบเค้าชอบออกช็อยส์ไหน เเละในกรณีที่เรานับเเล้วได้ 2 ช็อยส์ที่เรากาไปน้อยที่สุด เราก็เลือกดิ่งในช็อยส์ที่คนออกข้อสอบเค้าชอบดีกว่านะครับ

*(เเม้ว่า โดยเฉลี่ยเเล้วคือ 25% เท่ากันทุกช็อยส์ เเต่ในความเป็นจริงมักจะมีเหลื่อมๆกันบ้าง เช่นข้อสอบที่มี 28 ข้อ อาจไม่ได้เเบ่ง ก-ข-ค-ง เป็น 7-7-7-7 (25% เท่ากันทั้งหมด) เเต่อาจจะเป็น 6-6-8-8 หรือ 5-7-7-9 ก็ได้ครับ)

5. การจะทำข้อสอบเข้ามหาลัยหรือข้อสอบเเข่งขันให้้ได้คะเเนนมากกว่า 40% ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ ต้องฝึกทำโจทย์ตามที่อธิบายในบทก่อนหนานี้เยอะๆๆๆด้วย



สรุป: ให้เราเตรียมตัวตามเนื้อหาในบทก่อนหน้าทั้งหมด เมื่อเราเตรียมตัวแบบที่พี่หงวนบอกแล้ว เชื่อว่าเราจะทำข้อสอบได้อย่างต่ำๆ 40% เมื่อรวมกับการเดาแบบมีหลักการคือการดิ่งช็อยส์ที่กาไปแล้วน้อยที่สุดจะทำ ให้เราได้คะแนนรวมเป็น 60% เป็นอย่างน้อยครับ

ปลาประหลาด ฉลามตาเดียว (cyclops shark)




มีตาเดียวขนาดใหญ่ลำตัวสีขาว ไม่มีแขนขา เห็นภาพแล้วคิดว่าสิ่งนี้มันคืออะไรลองทายกันดู แล้วลองอ่านรายละเอียดด้านล่างว่าทายถูกหรือเปล่า
oom
เฉลย ภาพที่เห็นจั่วหัวคือ ปลาฉลาม
ฉลามตัวนี้มีลำตัวยาว 56 เซ็นติเมตร มีดวงตาหนึ่งดวงขนาดใหญ่ด้านหน้า ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของโรค “Cyclopia” ที่มีเพียงสัตว์ไม่กี่สายพันธุ์(รวมถึงมนุษย์) ที่ป่วยเป็นโรคนี้
เมื่อปีที่ผ่านมาชาวประมงนามว่า Enrique Lucero León จับปลาฉลาม Dusky ท้องแก่ได้ใกล้ๆเกาะ Cerralvo ใน อ่าวแคลิฟอร์เนีย ประเทศเม็กซิโก เมื่อ León ผ่าท้องฉลามออกเขาก็พบว่ามีลูกปลาฉลามไหลออกมา 9 ตัว แต่มีตัวอะไรซักอย่างมีลักษณะเหมือนปลาฉลามแต่มีสีขาวที่สำคัญมีตาเดียว ซึ่งเป็น ปลาประหลาด ที่สุดที่เขาเคยพบมา
เมื่อนักชีววิทยานามว่า Galván-Magaña และทีม ได้ยินเรื่องดังกล่าวผ่าน Facebook เขาจึงได้ขอยืมซากปลาฉลามตาเดียวเพื่อมาทำการตรวจสอบโดยการ X-ray และตรวจสอบงานวิจัยในอดีตเกี่ยวกับโรค Cyclopia ทำให้ทีมงานยืนยันว่าซากปลาฉลามตัวนี้เป็นของจริงที่เกิดจากการป่วยเป็นโรค Cyclopia
ฉลามตัวนี้ยังมีอาการป่วยเป็นโรค เผือก(Albinism รอยโรคทำให้เนื้อเยื้อไม่มีเม็ดสี) ร่างกายผิดรูป ไม่มีรูจมูก ร่วมด้วย ซึ่งหากมันสามารถมีชีวิตรอดจนถึงคลอดก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานนัก เนื่องจากสีผิวที่สะดุดตานักล่า ร่างกายที่ผิดรูปทำให้ว่ายน้ำได้ไม่ดีนัก
ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม(รวมถึงมนุษย์)การ ป่วยเป็นโรค Cyclopia นี้เกิดจากการที่มารดาขาดสารอาหารโดยเฉพาะวิตามินเอ แต่สำหรับฉลามนั้นยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดแต่คาดว่าเกิดจากมลพิษในน้ำทะเล

อึ้งผลสำรวจเด็กไทยพร้อมลอกข้อสอบ-ขี้โกงถ้ามีโอกาส


อึ้ง!! เด็กไทยมีจริยธรรมน้อยลง เด็กเผยยอมโกงเมื่อจำเป็น ขณะเด็กเล็กไม่ยอมจำนนต่อกฎ-กติกา แนะพ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดี พร้อมติงนโยบายแท็ตเล็ตแจกได้แต่ต้องมีผู้ปกครองดูแล

วันนี้ (21 ก.ย.) รศ.นพ.วิชัย เอกพลากร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี นักวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เครือข่ายการวิจัย สำนักงานวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวในการแถลงข่าว การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2552 โดยสำนักงานสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ว่า จากการสำรวจสุขภาพเด็กในด้านอารมณ์ จิตใจ สังคม และจริยธรรม โดยการสอบถามตัวอย่างเด็กและผู้ปกครองเกี่ยวกับพฤติกรรมด้านต่างๆ ในกลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กอายุ 1-14 ปี จำนวนเกือบ 1 หมื่นราย โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1 กลุ่มวัย 1-5 ปี 2 กลุ่มวัย 6-9 ปี และกลุ่มที่ 3 วัย 10-14 ปี พบว่า เด็กอายุ 1-5 ปียังมีปัญหาเรื่องการทำตัวไม่อยู่ในกติกาและไม่อยู่ในวินัย วัย 6-9 ปี ไม่มีการควบคุมอารมณ์ สมาธิและไร้เมตตา ขณะที่เด็กวัย 10-14 ขาดการวิเคราะห์และหากมีโอกาสโกงก็พร้อมจะโกงได้ ประเด็นดังกล่าวน่าห่วงมาก โดยเด็กยอมรับว่า ยอมรับได้กับการไม่เคารพกติกา เช่น “เล่นขี้โกงเมื่อมีโอกาส” และ “ลอกข้อสอบถ้าจำเป็น”

รศ.นพ.วิชัย เมื่อเทียบกับผลการสำรวจเมื่อปี 2544 แล้วผลการสำรวจในครั้งนี้มีคะแนนพัฒนาการดีขึ้นหลายด้าน แต่มีประเด็นน่าเป็นห่วงซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของสังคม โดยพบว่า กลุ่มเด็กเล็กช่วงอายุ 1-5 ปีนั้น มีมากกว่าร้อยละ 10 ของกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนต่ำกว่าผลจากการสำรวจปี พ.ศ. 2544 ในด้านการทำตามระเบียบกติกา (Compliance) ในกลุ่มเด็กชาย ซึ่งเป็นข้อสังเกตที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะสะท้อนถึงแนวโน้มที่เด็กอาจมีนิสัยที่ต้องการจะได้อะไรก็ต้องได้ ขาดความพยายาม ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวโยงกับความซื่อสัตย์สุจริต อันเป็นจริยธรรมขั้นพื้นฐานของบุคคล ในกลุ่มเด็กอายุ 6-9 ปี พบว่า ผลการทดสอบพัฒนาการด้านสังคม ได้คะแนนสูงกว่าด้านอื่นๆ ส่วนด้านที่ได้คะแนนต่ำคือ ความมีวินัย ความมีสติ-สมาธิ ความอดทนและความประหยัด โดยพัฒนาการด้านที่เด็กได้คะแนนน้อยซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ได้แก่ พัฒนาการด้านความมีวินัยในเด็กชาย การมีสมาธิในเด็กหญิง ด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ทั้งเด็กชายและหญิง และสำหรับกลุ่มเด็กอายุ 10-14 ปี เห็นว่า “การเล่นขี้โกงเมื่อมีโอกาส” และ “การลอกข้อสอบถ้าจำเป็น” เป็นพฤติกรรมที่เด็กยอมรับได้มากขึ้น ซึ่งในภาพรวมแม้ว่าเด็กจะมีคะแนนดีขึ้น แต่มีหลายด้านที่พบว่าคะแนนการสำรวจยังไม่ดีขึ้นกว่าปี พศ. 2544 ได้แก่ ด้านความคิดสร้างสรรค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การแก้ปัญหา และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งเป็นจุดที่ได้คะแนนค่อนข้างต่ำ ดังนั้น ส่วนที่ควรพัฒนาในเด็กอายุ 1-5 ปี คือ การทำตามระเบียบกติกา (Compliance) ในเด็ก 6-9 ปี ในเด็กชายและเด็กหญิงควรพัฒนาด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ และสำหรับเด็กอายุ 10-14 ปี ควรฝึกการควบคุมและจัดการกับอารมณ์ รวมทั้งการคิดวิเคราะห์วิจารณ์”

ด้าน รศ.พญ.ลัดดา เหมาะสุวรรณ นักวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เครือข่ายการวิจัย สวรส. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า ควรให้น้ำหนักต่อการพัฒนาเด็กในด้านวุฒิภาวะด้านอารมณ์ จิตใจ สังคม และจริยธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านอื่นๆ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการดำรงชีวิตของบุคคลและเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในชีวิตยิ่งไปกว่าปัจจัยด้านความฉลาดทางสติปัญญา ซึ่งการศึกษาวิจัยระยะยาวในต่างประเทศ บ่งบอกว่า ระดับเชาวน์ปัญญาหรือ IQ มีผลต่อความสำเร็จในชีวิตเพียงร้อยละ 20 ในขณะที่พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคมร่วมกับพัฒนาการด้านสติปัญญาที่สมวัยในวัยต้นของชีวิตเป็นรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการด้านภาษา ด้านสติปัญญา และด้านจริยธรรมในขั้นต่อๆ ไป และจากศึกษาติดตามระยะยาวจากเด็กจนเป็นผู้ใหญ่ พบว่า ระดับเชาวน์ปัญญาในวัยเด็กมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในชีวิตการงานและระดับเงินเดือนค่อนข้างน้อย ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ควบคุมความขัดแย้งและการเข้ากับคนอื่นได้ง่ายกลับมีส่วนทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตมากขึ้น

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เห็นว่า ผลการสำรวจดังกล่าวมีความสอดคล้องกับการสำรวจของกรมสุขภาพจิตที่ผ่านมา โดยเห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีการดำเนินงานเพื่อสร้างเสริมพัฒนาการเด็กให้มากขึ้น และผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเด็ก คือ พ่อแม่และครู ซึ่งต้องเน้นการเลี้ยงดูและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็ก ทั้งนี้หากอีคิวหรือระดับอารมณ์ของผู้ปกครองไม่ดีก็ส่งผลต่อเด็กเช่นกัน เพราะพฤติกรรมการเลียนแบบของเด็กยังมี

พญ.อัมพรกล่าวด้วยว่า จากการสำรวจครั้งนี้หากโดยงไปถึงนโยบายการแจกแท็บเล็ตแล้ว ควรที่จะมีการวิเคราะห์เชิงลึกถึงไอคิว และอีคิวของผู้ปกครองด้วย เพราะการรับสื่อของเด็กวัย 7 ขวบ นั้นจำเป็นต้องพึ่งพาคำแนะนำไม่เช่นนั้นการเสพสื่อก็จะเป็นไปแบบล่องลอย โอกาสที่จะรับสื่อที่ไม่เหมาะสมก็มีมาก


Credit http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9540000120350

นักเรียนเวียดนามทั้งหมู่บ้าน ว่ายน้ำไปเรียน


แชมป์ว่ายน้ำ -- ว่ายข้ามแม่น้ำละ 2 รอบเกือบจะทุกวัน ในทุกฤดูกาลและทุกสภาพอากาศ ไปโรงเรียนที่อยู่ห่างจากหมู่บ้าน 7 กม. คงจะไม่มีอะไรทรหดไปกว่านี้อีกแล้วสำหรับเด็กๆ ชั้นประถมศึกษากลุ่มนี้. -- VietnamExpress.


ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ผู้อ่านชาวเวียดนามต่างรู้สึกสะเทือนอารมณ์ที่ได้เห็นเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ กลุ่มหนึ่งต้องว่ายน้ำและเดินลุยแม่น้ำไปโรงเรียนทุกวันมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โรงเรียนอยู่ห่างจากหมู่บ้านออกไป 7 กม. และ ข้ามแม่น้ำสายนั้นเป็นวิธีการเดียวที่จะไปเรียนหนังสือได้

ข่าวนี้เป็นที่ฮือฮาผ่านสื่อต่างๆ ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากสำนักข่าวออนไลน์เวียดนามเอ็กซ์เพรสนำภาพข่าวและวิดีโอคลิปพร้อมกับเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กๆ เหล่านั้นออกเผยแพร่ ต่อมาได้มีผู้นำเอาคลิปออกเผยแพร่ผ่านยูทิวบ์

หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในเขตคอมมูนที่ห่างไกลของ อ.มีงหว่า (Minh Hoa) จ.กว๋างบี่ง (Quang Binh) มีอยู่เพียงประมาณ 20 ครัวเรือนรวมประชากร 106 คน มีเด็กๆ 14 คนที่ไปเรียนชั้นประถม โรงเรียนตั้งอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

ทั้งหมดเริ่มว่ายน้ำไปโรงเรียนตั้งแต่ ฤดูหนาวปีที่แล้ว หลังจากเรือข้ามฟากที่มีอยู่เพียงลำเดียวถูกน้ำพัดพาหายไปในฤดูน้ำหลากก่อนหน้านั้น เวียดนามเอ็กซ์เพรสกล่าว

เด็กๆ กลุ่มนี้ต้องว่ายน้ำกันทุกเช้าและเย็นทุกวัน ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก ฟ้าสลัว เมฆครึ้มหรือหมอกลงจัด ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนๆ ในรอบปีที่ผ่านมา ยกเว้นเพียงฤดูน้ำหลากที่โรงเรียนจะหยุดการเรียนการสอน 1 เดือนประจำทุกปี

เด็กจะใช้ถุงพลาสติกห่อชุดนักเรียน โดยสวมอีกชุดหนึ่งลงน้ำ ชูถุงเสื้อผ้าเหนือศีรษะ แล้วเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอีกครั้งเมื่อถึงอีกฝั่ง แต่ก็มีอยู่บ่อยๆ ที่ต้องนั่งเรียนเปียกๆ กันอีกหลายชั่วโมง เพราะเสื้อผ้าเปียกน้ำทั้งหมด

สำหรับเด็กๆ ผู้ชายจะใช้เวลาไม่กี่นาที แต่ลำบากหน่อยสำหรับเด็กหญิง


ชีวิตต้องสู้
VietnamExpress

นักเรียนฝรั่งเศสก่อจลาจล หลังมีข่าวลือรัฐลดวันหยุดปิดเทอม


เอเอฟพี - เด็กนักเรียนฝรั่งเศสหลายร้อยคนก่อความวุ่นวายเมื่อวันศุกร์(30) หลังมีข่าวลือแพร่สะพัดว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี ต้องการลดจำนวนวันหยุดปิดเทอม

เหตุประท้วงเริ่มต้นขึ้นทางเหนือของประเทศก่อนลุกลามสู่ชานกรุงปารีส ขณะที่ตำรวจเปิดเผยว่าได้จับกุมพวกก่อจลาจลที่เป็นเด็กมัธยม 10 คน หลังก่อเหตุวุ่นวายจับรถหงายท้องและทุบกระจกจนได้รับความเสียหายไปหลายคัน

เจ้าหน้าที่ ณ โรงเรียนมัธยมฌอง มูลิน ในเลอเชอส์เนย์ เปิดเผยว่าเหล่านักเรียนปฏิเสธเข้าห้องเรียน "เราประท้วงเพราะว่าประธานาธิบดีซาร์โกซี ต้องการพรากวันหยุดยาว 1 เดือนไปจากเราและนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราต้องก่อจลาจล" เด็กนักเรียนหญิงวัย 15 ปีรายหนึ่งบอกกับเอเอฟพี

อย่างไรก็ตามด้านสตรีรายหนึ่งวัย 50 ซึ่งรถของเธอได้รับความเสียหายจากการก่อเหตุวุ่นวายดังกล่าวบอกด้วยอารมณ์โมโหว่า "นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล พวกเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะรอยู่"

นอกจากนี้ตำรวจเปิดเผยว่ายังมีนักเรียนอีกหลายร้อยคนที่รวมตัวประท้วงในหลายเมืองทางเหนือของประเทศในช่วงเช้าวันศุกร์(30) โดยประมาณ 500 คนชุมนุมกันที่เมืองดูเอและอีก 500 รวมตันกันที่เมืองล็องส์และก่อความเสียหายแก่ทรัพย์สินต่างๆ เช่นเดียวกับที่เมืองดุงคีร์ก ซึ่งเหล่าเด็กนักเรียนพยายามปิดกั้นทางเข้าโรงเรียน

"เราไม่รู้ว่าข่าวลือนี้เริ่มขึ้นได้อย่างไร" เจ้าหน้าที่การศึกษาระดับท้องถิ่นบอก ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกคนเปิดเผยว่าข่าวลือนี้เหมือนไฟลามทุ่งแพร่สะพัดผ่านทางการส่งเอสเอ็มเอสและเฟซบุ๊ค

ข้อเท็จจริงคือคณะกรรมาธิการกำหนดวันหยุดของโรงเรียน กำลังศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการลดวันหยุดลง 2 สัปดาห์และเปลี่ยนไปเพิ่มวันหยุดกลางเทอม 1 สัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแทน ทว่าทั้งหมดนี้ก็ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆทั้งสิ้น

รัฐมนตรีศึกษาธิการกล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคมว่าเขาต้องการเจรจากับสหภาพครูก่อนแถลงมาตรการต่างๆในช่วงปลายปีนี้ และหากทุกอย่างไม่มีอะไรติดขัด แผนเปลี่ยนแปลงวันหยุดของโรงเรียนอาจจะมีผลบังคับใช้อย่างเร็วที่สุดคือช่วงวันหยุดฤดูร้อนปี 2013

Credit http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000124883

'โรคภัยที่มากับสายน้ำ'ต้องเฝ้าระวังเข้มข้น-ช่วงน้ำลดยิ่งหนักกว่า'


ปัญหาน้ำท่วมอาจจะไม่ได้เพียงพัดพากระแสน้ำให้เข้าทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งของให้เกิดความเสียหายเท่านั้น กระแสน้ำและความรุนแรงของธรรมชาติยังคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก นี่ยังไม่รวมถึงพิษภัยจากสัตว์ร้ายต่าง ๆ ที่ตามมาและที่สำคัญที่เกิดกับสภาวะสุขภาพของประชาชน ภาวะจากความเครียด และการได้รับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มากับน้ำหรือเกิดจากการต้องปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งในช่วงน้ำท่วมนี้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศเตือนในการป้องกันโรคติด ต่อที่มักเกิดขึ้นในฤดูฝน เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ในการป้องกันไม่ให้ป่วย มี 5 กลุ่ม รวม 15 โรค ได้แก่

1. กลุ่มโรคติดต่อทางน้ำและอาหาร ที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ตับอักเสบ สาเหตุเกิดจากกินอาหาร ดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน หรือกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ

2. กลุ่มโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ที่พบบ่อย ได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ และโรคปอดบวม โดยเฉพาะโรคปอดบวมนั้นมีอันตรายอาจถึงชีวิตได้ ควรระวังในกลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรัง

3. กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผล หรือเยื่อบุผิวหนัง ที่พบบ่อยคือ โรคเลปโตสไปโรซิสหรือไข้ฉี่หนู ดังนั้นช่วงระยะเวลาที่น้ำท่วมควรหารองเท้าใส่เพื่อไม่ให้เกิดบาดแผล เมื่อขึ้นที่แห้งต้องล้างเท้า หรือเช็ดให้แห้ง

4. กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุงที่สำคัญสามโรค ได้แก่ ไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ 80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้าน ไข้สมองอักเสบเจอี มียุงรำคาญซึ่งมักแพร่พันธุ์ตามแหล่งน้ำในทุ่งนาเป็นตัวนำโรค และโรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่าเป็นพาหะนำโรค ทั้งสามโรคนี้หลังน้ำท่วมควรขจัดแหล่งเพาะพันธ์ุยุงที่มีน้ำขัง

5. กลุ่มโรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรก กระเด็นเข้าตา โดยเฉพาะโรคตาแดง เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก



ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพฯ ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ดูจากภูมิศาสตร์แล้วนอกจากการรับปริมาณน้ำฝนที่ตกลงในพื้นที่ตามปกติแล้วจะต้องเป็นทางผ่านของน้ำที่จะไหลลงสู่อ่าวไทย จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบมากบ้างน้อยบ้างตามแต่สภาพพื้นที่ และศักยภาพการป้องกันรวมถึงการระบายน้ำ จึงเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ประชาชนต้องระวัง

การป้องกันเฝ้าระวัง รวมถึงการให้การรักษาก็ดำเนินการตามแผนปกติทุก ๆ ปีตามช่วงเวลาระบาดของโรค แต่ในปีนี้สถานการณ์น้ำท่วมเริ่มเข้าสู่สภาวะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ กทม.ต้องตั้งศูนย์เฝ้าระวังโรคที่มาจากน้ำขึ้น ที่สำนักอนามัย (สนอ.) เพื่อติดตามสถานการณ์การเข้ารักษาโรคที่เกิดขึ้นในช่วงน้ำท่วมทั้งพื้นที่

ส่วนอีกหนึ่งโรคที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด คือ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน เพราะในช่วงน้ำท่วม ประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ การรับประทานอาหาร การขับถ่าย ค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบากทำให้ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะเท่าที่ควร อีกทั้งหลังน้ำลดระดับลงการหมักหมมของขยะและสิ่งปฏิกูลในช่วงน้ำท่วมก็จะเริ่มเน่าเหม็นและมีการแพร่เชื้อโรค เข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว”

ดังนั้นการดูแลรักษาประชาชนจะต้องกลับมารุกหนักหลังภาวะน้ำลดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้สุขภาพประชาชนกลับมาอยู่ในสภาวะปลอดภัยเช่นเดิม

ใช่ว่าการสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ จะหายไปกับสายน้ำเมื่อยามที่ลดไป แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ สิ่งที่น้ำได้ทิ้งไว้ให้ ถ้าเป็นทางด้านกายภาพ หรือวัตถุนั้น เราซ่อมสร้างมันได้ แต่สิ่งที่บอบช้ำมากกว่าคือสภาพจิตใจและร่างกายที่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูที่นานกว่า เพื่อให้กลับมาเหมือนเดิม และคำกล่าวที่ว่า “การไม่เป็นโรคคือลาภอันประเสริฐ” นั้นคงจะจริงเป็นที่สุด เพราะเมื่อสภาพร่างกายพร้อมก็สามารถสร้างสิ่งที่หายไปขึ้นมาใหม่ได้.

บานเย็น แม่นปืน/รายงาน
นสพ.เดลินิวส์

เยียวยาผิวด้วยผักและผลไม้


เยียวยาผิวด้วยผักและผลไม้ (Lisa)


เวลาที่คุณเจอกับปัญหาผิวต่าง ๆ อย่าเพิ่งหยิบหลอดยาทาผิวขึ้นมา ลองใช้วิธีธรรมชาติ ๆ ของเรานี้ดูก่อน


ถ้าคุณมีปัญหาสิวที่ไม่ยอมหายง่าย ๆ


คุณควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล เพราะจะทำให้ผิวไวต่อการอักเสบมากขึ้น ฉะนั้น ในช่วงที่สิวยังไม่หายนี้คุณก็ควรเลือกกินผลไม้ที่ไม่ค่อยมีน้ำตาลอย่างฝรั่ง ชมพู่ มะละกอ และธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี


ถ้าคุณมีปัญหาผิวแห้ง


คุณก็ควรกินอาหารที่กรดไมันโอเมก้า-3 ในปริมาณสูง อย่างเช่น ผลไม้เปลือกแข็ง ปลาแซลมอน ถั่วเหลือง เพราะจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวของคุณได้ แถมผู้เชี่ยวชาญในเรื่องอาหารยังบอกอีกด้วยว่า อาหารพวกนี้ช่วยลดความเครียดให้คุณได้ด้วย


ถ้าคุณเผลอบีบสิว (ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรเผลอบ่อย ๆ)


คุณก็ควรทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของชาเขียว น้ำมันที-ทรี หรือสารสกัดจากชะเอม เพราะจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ และช่วยให้รอยแดง ๆ จากการบีบสิวจางลงได้


ถ้าคุณมีผื่นคันเกิดขึ้นตามร่างกาย


ก็ลองบดแตงกวาที่ปลอกเปลือกออกแล้วให้ละเอียด แล้วทาลงบนผิวในบริเวณที่มีปัญหา ปล่อยทิ้งไว้ซักประมาณสองสามนาที เพื่อช่วยขจัดรอยแดง ๆ และอาการระคายเคืองออกไป

ป้องกันสิว เวลาไปเที่ยวทะเล



ป้องกันสิวเวลาไปเที่ยวทะเล (Lisa)

ถึงแม้สิวจะเกิดขึ้นได้ในทุกสภาพอากาศ แต่สภาพอากาศร้อน ๆ ระหว่างที่คุณไปเที่ยวทะเลนั้นอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นให้สิวปะทุขึ้นมาได้ ฉะนั้น ควรป้องกันปัญหาสิวเอาไว้ก่อน ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ต่อไปนี้กัน

หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์และครีมกันแดดเนื้อหนัก ๆ การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและครีมกันแดดเนื้อหนัก ๆ ในสภาพอากาศที่ร้อนชื้นนั้น มีแนวโน้มอย่างมากที่จะทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตันเมื่อมีเหงื่อเข้ามาผสมโรงด้วย ฉะนั้น เลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบที่เป็นเนื้อฟลูอิดหรือเนื้อเจลจะปลอดภัยกว่า

ต่อสู้กับสิวตามตัว วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับสิวบริเวณหน้าอกและหลังคือ คุณต้องรีบล้างครีมกันแดดออกให้หมดหลังขึ้นจากชายหาด นอกจากนี้ก็อาจตามด้วยโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก เพื่อป้องกันการอุดตันในรูขุมขน

จัดการกับสิวเป็นจุด ๆ ถึงแม้ว่าการให้แพทย์ผิวหนังกดสิวหรือฉีดยาลดการอักเสบให้ จะช่วยกำจัดสิวได้อย่างรวดเร็ว แต่คุณก็สามารถจัดการด้วยตัวเองได้ โดยการใช้ยาแต้มสิวที่มีส่วนผสมของเบนซอยล์ เปอร์ออกไซด์ หรือกรดซาลิไซลิก ก็จะช่วยให้สิวแห้งเร็วขึ้นได้

ผิวพรรณเปล่งปลั่งด้วยพลังแห่งนมวัว


ผิวพรรณเปล่งปลั่งด้วยพลังแห่งนมวัว (ไทยโพสต์)

คำกล่าวที่ว่า "อาบน้ำแร่ แช่น้ำนม" คงบอกได้ถึงคุณประโยชน์ของนมวัวที่มีต่อผิวพรรณมาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งทุกวันนี้ผลผลิตจากธรรมชาติ เข้ามามีบทบาทในด้านสุขภาพและความงาม เนื่องจากคนเริ่มหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี สารปรุงแต่ง หรือสิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย และนมวัวก็เป็นหนึ่งในผลผลิตจากธรรมชาติ ที่เราคุ้นหูคุ้นตาจากโฆษณาต่าง ๆ ว่ามีประโยชน์ต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส อ่อนเยาว์เอาไว้ได้ เรามาลองดูกันซิว่านมวัวมีคุณสมบัติที่พิเศษ และทำได้เพราะเหตุใด

รายงานข่าวจากโครงการ "สุขภาพดี 24 ชั่วโมงกับโฟร์โมสต์" ระบุว่า คุณค่าจากนมวัวที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรงนั้น มาจากสังกะสีหรือซิงก์ และโปรตีนคุณภาพสูงในนมวัว โดยสังกะสีเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกาย เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างแอนติบอดี ที่ช่วยในการต่อสู้กับการติดเชื้อ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมองเห็น สังกะสีช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างสมบูรณ์ เช่น เซลล์ผิวหนัง เส้นผม สายตา การรับรู้รสและกลิ่น เป็นต้น ในส่วนของเส้นผมนั้น สังกะสีมีส่วนช่วยในการเผาผลาญและทำให้เส้นผมเจริญงอกงามได้ดี

แต่ทว่าร่างกายคนเรานั้นไม่สามารถสังเคราะห์สังกะสีได้เอง จะได้รับแร่ธาตุนี้จากการบริโภคเท่านั้น นมวัวก็เป็นแหล่งของสารอาหารที่ให้สังกะสีในปริมาณสูง เท่ากับ 0.37 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม การดื่มนมวัวประมาณ 3 แก้ว (แก้วละ 200 มิลลิลิตร) ต่อวัน จะช่วยให้ร่างกายได้รับสังกะสีราว 24% ของปริมาณที่จำเป็นต่อร่างกายในแต่ละวัน นอกจากนั้นในนมวัวยังมีซีลีเนียม ซึ่งมีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และทำให้ผม ผิวหนัง และเล็บมีสุขภาพดี ดังนั้นการดื่มนมวัวประมาณ 3 แก้ว (แก้วละ 200 มิลลิลิตร) ต่อวัน ก็จะทำให้ร่างกายได้รับซีลีเนียมประมาณ 32% ของปริมาณที่จำเป็นต่อร่างกายในแต่ละวันเช่นกัน

โปรตีนในนมวัวนั้น เป็นโปรตีนคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับโปรตีนในนมถั่วเหลือง และมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อโครงสร้างโปรตีนในร่างกาย เซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูก หรือโลหิต รวมทั้งใช้กรดอะมิโนสร้างแอนติบอดีและฮอร์โมนต่าง ๆ โปรตีนจากน้ำนม จึงมีส่วนช่วยให้เซลล์สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างภูมิคุ้มกัน ให้พลังงาน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และสร้างฮอร์โมนที่จำเป็น บำรุงไม่ให้ระบบต่าง ๆ เสื่อมสภาพเร็ว ช่วยให้มีออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงโลหิตได้ดี เป็นต้น

ทุกวันนี้เราคุ้นชินกับคอลลาเจน ในฐานะส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า คอลลาเจนนั้นคือโปรตีนชนิดหนึ่ง ดังนั้นการดื่มนมวัวจะทำให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนโดยตรง ซึ่งช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวพรรณ ทำให้ผิวกระชับ และเปล่งปลั่งอยู่เสมอ คุณภาพของเส้นผมที่ได้รับการบำรุงจากโปรตีนอันอุดมก็เช่นกัน

หากเปรียบเทียบปริมาณสังกะสีและโปรตีนที่ได้จากนมถั่วเหลืองน้ำหนัก 100 กรัมเท่ากันแล้ว นมวัวจะให้โปรตีนมากกว่านมถั่วเหลือง 16% และให้สังกะสีมากกว่านมถั่วเหลือง 60% ให้พลังงานมากกว่าเกือบสองเท่า มีคาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และแร่ธาตุอื่นที่มากกว่าโดยไม่ต้องปรุงแต่ง ดังนั้นการดื่มนมสดเป็นประจำ จึงช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบครัน และมีสุขภาพผิวดีได้จากภายใน เพราะเซลล์และเนื้อเยื่อทำงานได้ตามกลไกปกติ

การอาบน้ำแร่ แช่น้ำนม จึงอาจไม่จำเป็นอีกต่อไป หากเราสามารถดื่มนมวัววันละ 3 แก้วทุกวัน เพื่อให้ร่างกายได้ประโยชน์มากกว่าความงามที่มองเห็นได้ด้วยตา ซึ่งเมื่อร่างกายมีสุขภาพดี และร่างกายดูดีแล้ว สุขภาพใจที่ดีก็จะตามมา แถมประหยัดค่าอาหารเสริมได้อีกทางหนึ่งด้วย

ถุงยังชีพ ช่วยน้ำท่วม ควรมีอะไรบ้าง


สำหรับสิ่งของจำเป็นที่ควรมีใน "ถุงยังชีพ" ประกอบด้วย

1. อาหารแห้ง อาหารกระป๋อง พร้อมที่เปิดกระป๋อง เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ผักกาดดองกระป๋อง ปลาราดพริก น้ำพริกกระปุก เนื้อเค็ม ไข่เค็ม หมูหยอง หมูแผ่น ฯลฯ ในปริมาณที่เพียงพอต่อการบริโภคไม่น้อยกว่า 3 วัน

2. ข้าวหอมมะลิกระป๋อง และข้าวสาร หรือหากเดินทางไปแจกด้วยตนเอง อาจซื้อข้าวเหนียวนึ่งกับเนื้อหรือหมูทอดใส่ถุงเพราะไม่บูดง่าย

3. น้ำดื่ม เครื่องดื่มแพ็คกล่อง และขนมปังกรอบ ขนมถุงต่าง ๆ ที่เด็กชอบ นมถั่วเหลืองและน้ำผลไม้ สำหรับถวายพระฉันหลังเพล

4. นมผง และขวดนมสำหรับเด็กเล็ก พร้อมด้วยกระติกน้ำร้อนขนาดเล็ก ชนิดเสียบไฟได้

5. กระบอกไฟฉายพร้อมถ่าน ควรมีถ่านสำรองด้วยหลาย ๆ ชุด เทียนไข และไฟแช็ค

6. ชุดปฐมพยาบาล และยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้น้ำกัดเท้า ยาทาแผลสด ยาดม ยาหม่อง ยาแก้ไข้แก้หวัด ยาแก้ไอ เจ็บคอ เกลือแร่ซอง ยาแก้ท้องเสีย โลชั่นกันยุง ยาแก้คัน และยารักษาเชื้อรา-น้ำกัดเท้า

7. กระดาษทิชชู และกระดาษชำระแบบเปียก ใช้สำหรับการชำระล้างเพื่อสุขอนามัย

8. ถุงดำสำหรับใส่ขยะ พร้อมเชือกฟางหรือหนังยาง สำหรับมัดปากถุง

9. ผ้าอนามัย และยาคุมสำหรับผู้หญิง ถุงยางอนามัยสำหรับผู้ชาย ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กเล็กและคนแก่ กระโถน ถุงก๊อบแก๊บพร้อมที่นั่งถ่ายแบบของคนป่วย

10. เสื้อชูชีพ จำเป็นมากสำหรับคนแก่ คนป่วย และเด็ก ที่ควรมีไว้ประจำตัว

11. รองเท้าแตะยาง เสื้อกันฝน หมวกกันแดด ร่ม เสื้อยืด สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าขาวม้า ผ้าถุง กางเกงในกระดาษ หน้ากากกันฝุ่น

12. นกหวีด เพื่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

13. เชือกไนลอนเส้นยาว ๆ สำหรับผูกของ ตากผ้า ฯลฯ

14. กระจกเล็ก ๆ เอาไว้สะท้อนแสงขอความช่วยเหลือ

15. แผ่นพลาสติกและเทปกาว เพื่อใช้ในการทำที่หลบภัยภายในที่พัก


ทั้งหมดนี้ เป็นรายการสิ่งของจำเป็นเบื้องต้น ซึ่งท่านที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมสามารถจัดเตรียมและนำไปมอบให้ได้ด้วยตนเอง หรือผ่านหน่วยงานต่าง ๆ ที่เปิดรับได้ หรือสำหรับคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะถูกน้ำท่วม ก็สามารถจัดเตรียมสิ่งของเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าก่อนก็มีประโยชน์ไม่น้อยค่ะ

ฝรั่งเศส ดินแดนแห่งเทศกาล


งานฉลองที่มีสีสันและสนุกสนานตั้งแต่เช้ายันค่ำ จะหมุนเวียนจัดกันไปจัดตามเมืองต่างๆ ทั่วฝรั่งเศส


งานเทศกาลที่จัดกันในปัจจุบันล้วนเป็นมรดกตกทอดสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งอดีต หมู่บ้านแต่ละแห่งจะต้องมีงานฉลองของตน และในแต่ละเมืองจะต้องมีเทศกาลของดีของเด่นประจำปีไว้สนุกสนานกัน เช่น งานเดินขบวนคนยักษ์ (คนต่อขา) ของทางตอนเหนือของฝรั่งเศส งานคาร์นิวัลเมืองนีซ (Nice) งาน Ferias เมืองนีมส์ (Nîmes) และเมืองอาร์ล (Arles) งานประจำปีเมืองบายอน (Bayonne) หรือเมืองเบซิเยส์ (Béziers) ฯลฯ งานเหล่านี้เป็นที่รวมความสนุกสนานของชาวเมืองซึ่งยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นให้มาร่วมความบันเทิงด้วยกัน นอกจากงานเทศกาลต่างๆ ในเขตภูมิภาคแล้ว ฝรั่งเศสยังมีงานสำคัญประจำปีระดับชาติอีก 2 งาน ซึ่งทุกเมืองจะเฉลิมฉลองพร้อมๆ กัน งานแรกคืองานวันชาติ 14 กรกฎาคมซึ่งเป็นวันสำคัญที่เปิดตัวด้วยการสวนสนามของทหารเหล่าต่างๆ และจัดขึ้นอย่างใหญ่โตที่ถนนชองส์-เอลิเซ่ส์ (Champs-Elysées) อันเลื่องชื่อของปารีส พอถึงกลางคืนจะมีการจุดดอกไม้ไฟที่สวยงามตระการตา และมีงานเต้นรำที่สนุกสนานแบบฝรั่งเศสแท้ ส่วนตามเมืองใหญ่ๆ มักจัดการแสดงดนตรีกลางแจ้งให้ชมกันโดยไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู งานใหญ่งานที่สองคือ เทศกาลดนตรีซึ่งจัดขึ้นทุกวันที่ 21 มิถุนายน เทศกาลนี้เปิดโอกาสให้คนรักดนตรีทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นได้แสดงความสามารถกันเต็มที่และสุดเหวี่ยงในท้องถนนและทุกหนทุกแห่ง นอกจากนี้ยังมีเทศกาลเพลงคลาสสิค ละคร ละครสัตว์ และอื่นๆ อีกมากมายตลอดทั้งปี เพียงเท่านี้คุณก็คงพอรู้แล้วว่าในฝรั่งเศสความสนุกสนานเพลิดเพลินนั้นไม่มีการเว้นวรรคจริงๆ


สำหรับคนนอนไม่หลับ


ราตรีที่หวานซึ้งหรือค่ำคืนที่เฮฮาเป็นบรรยากาศที่คุณเลือกได้ในสถานบันเทิงที่มีอยู่มากมายหลายแห่ง ถ้าคุณชอบดื่มสังสรรค์กับเพื่อนๆ ในบรรยากาศที่เป็นกันเองแล้วล่ะก็ ตามเมืองใหญ่ๆ ของฝรั่งเศสมีบาร์ซึ่งเปิดเพลงทุกสไตล์ให้เลือกตามรสนิยม ทั้งลาติโน แจ๊ซ ไลท์ มิวสิค เว็บ เทคโน หรือแม้แต่เพลงอาหรับ... และถ้าใครยังไม่เหนื่อยอยากไปเต้นรำต่อ ก็ยังมีสถานบันเทิงขนาดยักษ์ที่เปิดเพลงมันๆ หลายสไตล์โดยดีเจจากทั่วโลก ให้นักดิ้นเท้าไฟได้สะบัดในทุกท่วงท่า ทั้งฮิปฮอป แจ็ซ โซล หรือเพลงแอฟริกัน ส่วนคุณที่ชอบลีลาศแบบหรูหรือบอลรูมแบบเก่าย้อนยุค ก็รับรองว่าไม่มีวันผิดหวัง และเมื่อยามเช้ามาถึงแต่คุณยังมีแรงเที่ยวต่อ ก็ยังมีที่ที่คุณจะได้สนุกส่งท้ายกันอีก



ที่มา - http://ptc.icphysics.com/webboard/SFM/index.php?topic=11509.0;wap2

ผู้หญิง และ ผู้ชาย แตกต่างกันตั้งแต่สมอง!!


ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นก็คือ ได้รู้ว่า หญิงกับชาย ไม่ได้แตกต่างกันเพียงแค่เรื่องอวัยวะเพศที่เป็นสิ่งบ่งชี้เพศเท่านั้น แต่ลักษณะทางกายภาพและชีวภาพของสมองก็แตกต่างกัน
นักวิทยาศาสตร์ทางด้านสมอง ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสมองของเพศหญิงและชาย ซึ่งโครงสร้างสมองมีหลายอย่างที่แตกต่างกัน ประการแรก Corpus Callosum เป็นเส้นประสาทที่เชื่อมสมองทั้งสองซีก ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ประสาท 300 ล้านเซลล์ เป็นทางผ่านของกระแสประสาทจากซีกซ้ายไปซีกขวา สามารถทำให้เห็นพัฒนาการทางด้านความฉลาดระหว่าง
เพศชายและหญิงได้โดยผู้หญิงมีขนาดของคอร์ปัส คอลโลซัมที่มากกว่า นั่นหมายความว่า ผู้หญิงมีความสามารถในการส่งข้อมูลระหว่างสมองซีกซ้ายกับขวาเร็วกว่าผู้ชาย โดยการศึกษาพบว่าความแตกต่างจะเริ่มปรากฏให้เห็นเมื่อเข้าสู่ช่วงประถมค่ะ

อย่างที่สอง จำนวนเซลล์สมองของผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 4% และมีเนื้อสมองมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1 ขีด ซึ่งเซลล์สมองเหล่านี้จะวิ่งผ่านไปในสมอง ทำให้เกิดความนึกคิด การเรียนรู้ต่างๆ แม้ผู้ชายจะมีเซลล์สมองมากกว่าผู้หญิงแต่น่าแปลกมากที่ผู้หญิงมีระบบการเชื่อมโยงของเซลล์สมองมากกว่าผู้ชาย ดังนั้นจึงแสดงว่าเซลล์สมองผู้หญิงนั้นทำงานได้ดีกว่า
นอกจากนี้ในส่วนของระบบสมองลิมบิค (Limbic) ที่เกี่ยวข้องกับระบบการเรียนรู้ ความจำ รวมทั้งการปรับสภาวะอารมณ์นั้น ผู้หญิงจะมีมากกว่า จึงทำให้ภาพรวมของผู้หญิงจะเป็นเพศที่มีความรู้สึกมากกว่าผู้ชาย จะดีใจ หรือ เสียใจ ผู้หญิงจะแสดงออกมาเลย ในขณะที่ผู้ชายดีใจก็เงียบ เสียใจก็เงียบ นอกจากนี้ผู้หญิงยังมีความผูกพันที่สูงกว่า ดูได้จากบทบาทการเป็นแม่นั่นเอง
นักวิจัยได้เคยทำการทดสอบการใช้สมองของเพศหญิงและชายโดยการแสกนสมอง พบว่ามีความแตกต่างกันหลายๆ อย่างทีเดียว ซึ่งการทดสอบจะใช้เครื่องมือที่ทำให้มีแสงไฟแวบขึ้นเมื่อสมองส่วนใดทำงาน ได้ผลออกมา เช่น ในการพูด ผู้หญิงจะใช้สมองทั้งสองซีกในการทำงาน เพราะไฟติดทั้งสองด้าน ในขณะที่ผู้ชายจะใช้เพียงสมองซีกซ้ายเท่านั้น ส่วนในเรื่องของการจดจำทิศทาง ผู้หญิงใช้ Cerebral cortex ซึ่งอยู่ในระบบประสาทส่วนกลาง และเป็นศูนย์ควบคุมเกี่ยวกับความฉลาด การเรียนรู้ ความจำ ส่วนผู้ชายจะใช้ Hippocampus ซึ่งทำหน้าที่ในการบันทึกความทรงจำ และการกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม โดยอาศัยความทรงจำและประสบการณ์เก่าๆ มาเป็นตัวตัดสินนั่นเอง

ส่วนที่เถียงกันจนเป็นปัญหาโลกแตกว่า เพศไหนฉลาดกว่ากัน อาจจะไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เพราะใครจะเก่งกว่าใครส่วนหนึ่งเกี่ยวกับการฝึกฝนและการพัฒนาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ถ้าหากดูกันที่ระบบสมอง บทบาทของ Cerebrum ของทั้งสองเพศก็จะมีความแตกต่างกัน โดยจะโดดเด่นกันคนละด้าน คือ เพศชายจะมีความถนัดและความสามารถด้านการคำนวณ การเข้าใจตรรกะต่างๆ การใช้ภาษาในเชิงเหตุผล การใช้แผนที่ ทิศทางการเคลื่อนไหวร่างกาย เป็นต้น จึงเห็นว่าส่วนใหญ่ผู้นำมักจะเป็นผู้ชาย ส่วนความสามารถของเพศหญิงนั้น จะเด่นในเรื่อง การใช้ความรู้สึก งานฝีมือ การเข้าอกเข้าใจคนอื่น การจดจำ การใช้ภาษา เป็นต้น เห็นความถนัดแล้วเพศหญิงแล้ว หายสงสัยเลยว่าทำไมคณะอักษรฯ หรือมนุษย์ฯ ซึ่งเป็นสายภาษาจึงมีแต่ผู้หญิงเรียน

สรุปได้ง่ายๆ เลยว่า การที่ผู้หญิงและผู้ชายมีพฤติกรรม ความรู้ ความคิด และอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันเป็นเรื่องที่ธรรมชาติให้มาล้วนๆ สมองมีการทำงานที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นความแตกต่างที่ลงตัวและสร้างเสน่ห์ให้แต่ละเพศได้เป็นอย่างดีทีเดียว เช่น ผู้ชายก็จะรู้สึกดีและรู้สึกเป็นฮีโร่สุดๆ เมื่อได้ดูแลผู้หญิง ส่วนผู้หญิงจะมีอารมณ์ความรู้สึกที่อยากมีคนดูแล ทีนี้ น้องๆ ผู้ชายทั้งหลายก็เข้าใจธรรมชาติของเพศหญิงในเรื่องของอารมร์ความรู้สึกและความจำแล้ว ดังนั้นจะพูดจะทำอะไรก็แคร์ความรู้สึกของกันและกันเยอะๆ สำหรับผู้หญิงก็รู้ธรรมชาติของความคิดและการแสดงออกของผู้ชาย ก็ต้องปรับตัวไม่งอแงจนเกินไปนะคะ จะได้ไม่มีปัญหากัน โลกใบนี้จะได้น่าอยู่มากขึ้นค่ะ

ที่มา : www.dek-d.com