6 วิธีเพิ่มพลังในทุก ๆ วัน *0*


เหนื่อยมั้ย? ที่ต้องทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน สารพัดประชุมที่ต้องเข้าร่วม แม้กระทั่งคุยโทรศัพท์ ตอบอีเมลล์และกินมือเที่ยงที่โต๊ะทำงานตัวเอง ร่างกายมนุษย์เราไม่ใช่เครื่องจักรนะจ๊ะ (หรือถึงเป็นเครื่องจักรถ้าทำงานตลอดเวลาก็ยังพังได้เลย) หันมาดูแลร่างกายตัวเองกันบ้างดีกว่า ถ้างั้นลองมาดูเคล็ดลับ 6 ข้อนี้กันเลย

1. พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้การงีบหลับสักตื่นก็ช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้ แต่เราควรนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนอย่างเต็มที่และเพื่อให้สมองเราเปิดรับการเรียนรู้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยที่มีกลยุทธง่าย ๆ 2 วิธี

อันดับแรก ต้องกำหนดเวลานอนและล้มตัวลงนอนก่อนอย่างน้อย 30-45 นาที โดยหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะกระตุ้นให้เราตื่นตัว เช่น ตอบอีเมลล์หรือคุยโทรศัพท์ เป็นต้น และหันไปหาวิธีการผ่อนคลายแทนสักอย่าง เช่น อาบน้ำอุ่น หรืออ่านหนังสือ

อันดับที่ 2 ก่อนนอนลองใช้เวลาสัก 2-3 นาทีเพื่อทบทวนดูว่ามีอะไรรบกวนจิตใจเราอยู่รึเปล่า แล้วจดใส่กระดาษไว้เพื่อกันไม่ให้เรื่องเหล่านี้ทำให้คุณข่มตาหลับไม่ลง หรือว่าต้องตื่นขึ้นมากลางดึก

2. พักสักนิดอย่างน้อยทุก ๆ 90 นาที การทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานอย่างแน่นอน อยากให้คุณลองใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีเพื่อรีชาร์จร่างกายคุณสักหน่อย โดยลองหลับตาและหายใจเข้านับ 1 ถึง 3 และค่อย ๆ ปล่อยลมออกทางปากแล้วนับ 1 ถึง 6 ฝึกและทำเป็นประจำ เพียงเท่านี้ก็ช่วยฟื้นฟูร่างกาย และทำให้ผ่อนคลายได้มากขึ้น

3. หมั่นจดรายการที่ต้องทำ หากมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย คุณก็ควรจดรายการเอาไว้ เพื่อที่จะเรียบเรียงและจัดการให้เป็นระเบียบ ซึ่งจะช่วยไม่ให้สมองทุกอย่างของคุณเก็บกักไว้เกินความจำเป็น
4. ออกกำลังกายและงีบหลับ ไม่มีทางไหนที่จะเคลียร์หัวสมองของคุณได้ดีเท่ากับการออกกำลังกายแล้ว และข้ออ้างสุดฮิตของคนไม่ออกกำลังกาย คงเป็น "ไม่มีเวลา" ถ้างั้นเราจะบอกว่าคุณสามารถทำได้ในช่วงมื้อเที่ยง เชื่อไหม?
ไม่ต้องสนใจเรื่องเข้ายิม หากคุณไม่มีเวลาไป เพียงแค่ใช้เวลาสัก 15 ถึง 30 นาที เดินออกไปหาอะไรกินข้างนอกในเวลาพักกลางวัน หรือแม้กระทั่งอยู่ในออฟฟิศก็ทำได้ โดยการเดินขึ้นลงบันไดก็ได้นะ

นอกจากนี้ เพียงแค่งีบหลับในช่วงเวลากลางวันสั้น ๆ สามารถช่วยให้คุณกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้และจะช่วยให้สามารถทำให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เทียบกับคนที่ไม่ได้นอนหลับเลยหลังจากทำงานเป็นเวลานาน ๆ

5. ฝึกที่จะรู้จักชื่นชม ลองหาโอกาสชื่นชมใครสักคนและแสดงให้เขารู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับเขา โดยบอกตรง ๆ หรือเขียนโน้ตให้เขา ซึ่งจะเป็นการให้พลังด้านบวกแก่เขาและการแบ่งบันความคิดในเชิงบวกนั้นก็จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นด้วย เช่นเดียวกันคุณก็ต้องหัดชื่นชมตัวเองด้วย เพื่อลิ้มรสความสุขเล็ก ๆ และให้กำลังใจตัวเองเมื่อสมควร พร้อมทั้งรู้จักให้อภัยตัวเอง เมื่อคุณผิดพลาด

6. เปลี่ยนกิจวัตรระหว่างที่ทำงานและบ้าน คนส่วนใหญ่มักจะนำงานกลับไปทำที่บ้านด้วย นั้นแสดงให้เห็นว่าคุณไม่สามารถละทิ้งงานได้เลย ทั้งที่เลิกงานแล้ว คนเราต้องผ่อนคลายกันบ้างนะ อย่าเอาตัวผูกกับงานมากเกินไปจนนำกลับไปที่บ้าน สถานที่ซึ่งควรจะเป็นที่ ๆ ทำให้คุณได้ฟื้นฟูตัวเองจากงานที่ทำมาตลอดทั้งวัน โดยที่ระหว่างทางกลับบ้านอาจจะหยุดรถแวะสวนสาธารณะ แล้วทอดอารมณ์สักเล็กน้อยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายลง ก่อนเดินทางกลับบ้านอันแสนสุข

พึงคิดไว้เสมอนะคะ ว่าร่างกายเป็นต้นทุนสำหรับการทำงาน หากเราปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลร่างกายให้ดี คุณก็ไม่สามารถเดินเครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังส่งผลต่อภาวะจิตใจและอารมณ์ คุณคงไม่มีความสุขแน่ ถ้าต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอด รักตัวเองก่อนรักงานนะ



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

Cream of Mushroom Soup: ซุปครีมเห็ด สไตล์ฝรั่งเศส


Prep Time: 5 minutes เวลาเตรียม 5 นาที
Cook Time: 10 minutes เวลาทำ 10 นาที
Total Time: 15 minutes รวม 15นาที

Ingredients:

* 1 onion, diced
* 4 tablespoons butter
* ¾ lb button mushrooms, chopped
* 4 teaspoons all-purpose flour
* 1 cup beef stock
* ½ bay leaf
* ¼ teaspoon salt
* 1/8 teaspoon black pepper
* 2 cups half and half (Milk 1/2 + Cream 1/2 = 1 )

หอมใหญ่ 1ลูก หั่นลูกเต๋า
เนย 4 ช้อนโต๊ะ
เห็ดสับ 3/4 ปอนด์
แป้งอเนกประสงค์ 4 ช้อนชา
น้ำสต๊อกวัว(หรืออื่นๆ) 1ถ้วย
ใบเบย์ ครึ่งใบ
เกลือ 1/4 ช้อนชา
พริกไทยดำ 1/8 ช้อนชา
half and half 2 ถ้วย

Preparation:

Melt butter over medium heat and sauté the onions and mushrooms for 5 minutes. Stir in flour and cook for 1 minute. Add beef stock, bay leaf, salt, and pepper. Simmer for 3 minutes and then remove bay leaf. Add half and half, warm through, and serve hot.

- ตั้งกระทะความร้อนปานกลาง ใ่ส่เนย ผัดหอมใหญ่ และ เห็ด 5 นาที
- ใส่แป้ง ผัดต่อ 1 นาที
- เติมน้ำสต๊อก ใบเบย์ เกลือ พริกไทย
- เคี่ยว 3 นาที เอาใบเบย์ออก
- เติม half and half
- เคี่ยวต่อ เสิร์ฟร้อนๆ

Makes 8 servings. สำหรับ 8 ที่

By Rebecca Franklin

How to make Ratatouille OoO


Preparation time 30 min. เวลาเตรียม 30 นาที
Cooking time 45 min. เวลาทำ 45 นาที

Ingredients

1 lb eggplant
1 lb zucchini (courgette)
4 tb olive oil
1/2 lb yellow onions
2 garlic cloves
1 lb tomatoes, firm and ripe
3 tb parsley
Salt and pepper

มะเขือ 1 ปอนด์
แตง 1 ปอนด์
น้ำมันมะกอก 4 ช้อนโต๊ะ
หอมใหญ่ 1/2 ปอนด์
กระเทียมทุบ 2 กลีบ
มะเขือเทศ 1 ปอนด์
พาร์ซเล่ 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือ พริกไทย

Directions
Step 1: Peel and cut the eggplant into 3 inches long slices. Cut the zucchini into slices but don't peel. Place those vegetables in a bowl, cover with water and let rest for 30 minutes. Drain.
-ปอกเปลือกมะเขือ และหั่นยาว3นิ้ว หั่นแตง เป็นชิ้นไม่ต้องปอกเปลือก ใส่ลงชาม ครอบด้วยน้ำ แล้วทิ้งไว้30นาที จนแห้ง

Step 2: Sauté the eggplant and zucchini with olive oil in a skillet. One minute on each side. Set aside.
- ผัดมะเขือและแตง ในกระทะทอดที่มีน้ำมันมะกอก ด้านละ1นาที แล้วปัดไปด้านหนึ่งของกระทะ

Step 3: Cook the onions with olive oil in the same skillet for 10 minutes over moderate heat. Stir in the garlic and add salt and pepper.
- เติมน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ผัดหอมใหญ่(กระทะเดียวกัน) 10 นาที ความร้อนปานกลาง ผัดกระเทียม เติมเกลือ พริกไทย

Step 4: Peel the tomatoes and boil for 30 seconds. Cut into slices. Lay them over the onions in the skillet. Cover and cook over low heat for 5 minutes. Uncover. Pour the juice from the the skillet over the tomatoes. Raise heat and boil for several minutes until juice has almost entirely evaporated.
- ปอกเปลือกมะเขือเทศ ต้ม 30 วินาที หันเป็นแว่น ใส่ลงในกระทะที่ผัดหอมใหญ่อยู่
- ปิดฝาไว้ ใช้ความร้อนต่ำ 5 นาที
- เปิดฝา เทน้ำในกระทะออก เพิ่มความร้อนแล้วต้มไว้สักพัก จนกระทั่งน้ำระเหยออกเกือบหมด

Step 5: Put a third of the tomatoes mixture in the bottom of a casserole. Sprinkle with 1 tablespoon of parsley. Then put half of the eggplant and zucchini. Then the second third of tomatoes. Sprinkle with 1 tablespoon of parsley. Put the remaining eggplant and zucchini, then the tomatoes and sprinkle with 1 tablespoon of parsley.
- ตักส่วนผสมของมะเขือ3ส่วน ลง ในหม้อเคี่ยว โรยพาร์ซเล่
- ตักมะเขือและแตงเพียงครึ่งเดียวใส่ลงไป และใส่มะเขือเทศ 2ใน3ลงตาม โรยด้วย พาร์ซเล่
- ตักมะเขือและแตงลงไป มะเขือเทศ ที่เหลือลงไป โรยด้วยพาร์ซเล่

Step 6: Cover and simmer over low heat for 10 minutes. Uncover, pour the juice over the vegetables. Add salt and pepper if needed. Raise heat to moderate and cook uncovered for 15 minutes. Pour the juice during the process several times over the vegetables.
- ปิดฝาเคี่ยวความร้อนต่ำ 10นาที เติมน้ำซุปลงบนผัก เติมเกลือพริกไทยถ้าต้องการ
- ปรับไฟปานกลาง เปิดฝา ต้มไว้15นาที
- คอยเติมน้ำซุประหว่างต้ม

Making French Onion Soup :D


Ingredients

1/2 cup butter

1 tablespoon olive oil

8 cups sliced onions (about 6-8 medium onions)

1/2 teaspoon sugar

8 cups beef stock

1/2 cup white wine

1 bay leaf

1/4 teaspoon chopped fresh thyme

Salt and pepper to taste

8 slices French bread

2 cups shredded Gruyere or Swiss cheese

Equipment

8-quart stock pot

Wooden spoon

Oven

8 oven-safe soup bowls3

Assembling the Soup Bowls

Arrange the slices of bread in a single layer on a baking sheet4
Broil for 2 minutes, turning the slices after one minute to brown both sides.4
Pour the soup into oven-proof bowls.5
Place a slice of bread atop each bowl.6
Sprinkle cheese atop each slice of bread.7
Arrange the bowls on a cookie sheet.7
Bake for five minutes at 350 degrees F.5
-You can also place the bowls under the hot broiler until the cheese bubbles and browns.6
Making the Soup

Melt the butter and olive oil in a stockpot over medium-high heat.6

Add the sliced onions to the pot.7

Stir in the sugar after five minutes.4

Continue to cook the onions on medium until golden brown, about 30 minutes.8

Add the beef stock, wine, thyme and bay leaf.5

Simmer for 30 minutes.6

Season to taste with salt and pepper.8

Locate and toss the bay leaf.8

ประสบการณ์หลังความตาย วิทยาศาตร์อธิบายได้


มีรายงานว่าผู้ป่วยที่ฟื้นจากความตายรู้สึกเหมือนตอนเองลอยออกจากร่างของตนเองที่นอนสงบนิ่งอยู่เบื้องล่าง บ้างก็ว่ารู้สึกเหมือนถูกดึงสู่อุโมงค์อันมืดมิที่มีแสงสว่างไสวอยู่ปลายทาง ลองดูว่าวิทยาศาสตร์มีคำตอบกับรายงานพวกนี้ว่าอย่างไร
โดยนักวิทยาศาสตร์กล่าวยืนยันว่า การที่ผู้ฟื้นจากความตายรู้สึกถึงการล่องลอยออกจากร่างนั้นแท้จริงเป็นเพียงการเล่นตลกของสมองที่พยายามจะทำความเข้าใจถึงขบวนตาย(ชีพจรต่ำ เลือดเลี้ยงสมองน้อยลง)
โดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Edinburgh และ Cambridge ที่ทำการตรวจสอบงานศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในสมองของเหล่าผู้เฉียดตาย
โดยนักวิจัย Caroline Watt กล่าวว่าหนึ่งในรูปแบบที่เหล่าผู้เฉียดตายจะเห็นเหมือนๆกันก็คือ การถูกดึงไปในอุโมงค์สู่ปลายทางที่มีแสงสว่าง มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดจากการตายของเซลล์รับแสงในดวงตา
ส่วนการที่มีความรู้สึกถึงวิญญาณออกจากร่างนั้นเกิดจากการที่สมองพยายามจะทำความรู้จักกับรู้แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน(ความตาย) โดยด็อกเตอร์วัตท์กล่าวว่าเราสามารถหลอกสมองได้โดยการใส่เครื่องฉายภาพเสมือนแบบครอบหัวแล้วฉายภาพของตัวเองอยู่ด้านหน้าในระยะสามฟุตรูปแบบนี้สามารถหลอกสมองให้คิดว่าวิญญาณออกจากร่าง
หรือความรู้สึกสงบ มีความสุข อิ่ม นั้นเป็นผลมาจากโฮโมน Noradrenaline ที่จะหลั่งออกมาเมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือตกอยู่ในสภาพเครียด


Credit : http://wowboom.blogspot.com/

สารพัดโรคที่มาจากการอดนอน =[]=


มีงานวิจัยที่ทดลองให้อาสาสมัครหนุ่มสาวนอนวันละ 4 ชม. ถึง 6 คืนด้วยกัน จากนั้นก็ทำการเจาะเลือดเพื่อหาระดับน้ำตาล ผลปรากฏว่า มีระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูง ควบคุมได้ยาก และมีลักษณะคล้ายกับอาการของโรคเบาหวาน ...
- การอดนอนยังส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนเลปติน ซึ่งเป็นการที่สื่อต่อระบบประสาทว่า ควรจะอิ่ม ได้เร็วหรือช้าเท่าใดตามความต้องการอาหารของร่างกาย เมื่อระดับเลปตินลดลง ระดับของความอยากอาหารจะเพิ่มขึ้นทั้งๆ ที่ทานอาหารจนได้รับพลังงานที่เพียงพอแล้วก็ตาม

- การนอนไม่พอยังส่งผลต่อเม็ดเลือดขาวและกลไกการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยง่ายเมื่อเจอเชื้อโรค

- นอกจากนี้นักวิจัยยังพบอีกด้วยว่า การอดนอนเป็นสาเหตุของโรคอ้วนอีกเช่นกัน โดยเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเร่งการเติบโต ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตทางกายภาพและควบคุมสัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อในร่างกาย การอดนอนทำให้ฮอร์โมนชนิดนี้หลั่งน้อยลง ทำให้อยากอาหารมากขึ้น...

- การอดนอนมากๆ อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่างๆ ได้ ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อ ... แต่ที่เป็นอย่างนั้นได้เพราะ เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ มันจะไปส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ทำงานแปรปรวน เนื่องจากการอดนอนและแสงรบกวนในเวลากลางคืน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเพราะฉะนั้น นอกจากจะต้องนอนให้เพียงพอแล้ว เรายังไม่ควรเปิดไฟนอนอีกด้วย

ไม่ใช่แค่สารพัดโรคที่ส่งผลมาจากการอดนอนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีผลข้างเคียงที่เห็นอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็น ใบหน้าทรุดโทรมหมองคล้ำ ร่างกายไม่ตื่นตัว ปวดหัวระหว่างวัน หรือแม้แต่ทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ แต่เราสามารถป้องกันได้โดยการอย่าอดนอนโดยไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตามในช่วงที่เกิดวิกฤติน้ำท่วมแบบนี้ทำให้หลายคนต้องอดนอนเพราะเป็นห่วงบ้านและทรัพย์สิ้นจะหายรวมไปถึงบางคนอาจจะกำลังขนย้ายของเพื่อหนีน้ำที่กำลังจะล้นทะลักเข้าบ้าน จึงทำให้ไม่นอน ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ทุกคนควรทำใจให้สบายแล้วผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปพร้อมๆกันค่ะ




Credit : http://www.sanook.com/

การจัดห้องอ่านหนังสือ อย่างถูกวิธี !!


เช็ค “ห้องอ่านหนังสือ” ของตนเองกระตุ้นการเรียนรู้หรือไม่? พร้อมเทคนิค “จัดห้องดีทำสมองดีได้” ด้วยลักษณะแบบไหน...มารู้กัน

ไม่เพียงรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย และพักผ่อนอย่างเพียงพอเท่านั้น “การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม” ก็เป็นปัจจัยสำคัญช่วยกระตุ้นการเรียนรู้สู่การพัฒนาสมองได้อีกทางหนึ่ง วันนี้มีวิธีง่าย ๆ มาแนะนำ

เลี่ยงตั้งโต๊ะอ่านหนังสือตรงหน้าต่าง เพราะบรรยากาศเบื้องหน้า หรือ สิ่งเร้าล่อตาล่อใจจะอยู่ในสายตา เป็นตัวดึงสมาธิ อีกทั้ง การให้ร่างกายรับแสงอาทิตย์ ซึ่งมีรังสีอัลตราไวโอเลต หรือ ยูวี โดยตรง ไม่เป็นผลดีต่อสมอง และผิวหนัง ควรเลือกห้องที่รับลม ปลอดโปร่ง สงบ และไม่เป็นทางเดินผ่านของคนภายในบ้านบ่อยนัก

ไม่ควรหันหลังให้ประตู เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักพะวง หรือ หวาดระแวง กับสิ่งที่มองไม่เห็นด้านหลังได้ง่าย ทำให้ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ และทบทวนบทเรียน

โต๊ะควรทำจากไม้ ผลวิจัยในต่างประเทศพบว่า คลื่นสมองจะทำปฏิกิริยากับคลื่นแม่เหล็กที่เป็นวัสดุจากโต๊ะ เช่น เหล็ก ส่งผลต่อการรบกวนสมองได้ นอกจากนี้ ดีไซน์ของโต๊ะ และเก้าอี้ก็สำคัญ ควรเอื้อต่อการลุกยืน-นั่งสะดวกสบาย รองรับอิริยาบถได้เหมาะสม เสริมบุคลิกภาพที่ดี จะช่วยให้ไม่เครียดง่าย และมีสมาธิขึ้น รวมถึงสีสัน ควรเรียบสบายตา ไม่รกด้วยภาพ หรือ สติกเกอร์

มีแสงพอเหมาะ เนื่องจากแสงสว่างสามารถกระตุ้นประสาทสัมผัสด้านการมองเห็นได้เร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ควรเลี่ยงแสงสว่างจ้า เพราะจะทำให้สายตาอ่อนล้า หากมืดเกินไปก็เป็นปัจจัยทำสายตาสั้นได้เช่นกัน จึงควรหาโคมไฟติดไว้ เพื่อช่วยปรับแสงให้พอดีกับสภาพแวดล้อมแต่ละวัน

ทั้งนี้ อย่าลืมสิ่งสำคัญ คือ ความสะอาด และเป็นระเบียบ เท่านี้ก็จะได้บรรยากาศที่ดี ช่วยสร้างลักษณะนิสัยใฝ่เรียนรู้ ลองนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะตามสไตล์กันดู.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน


เมื่อ ลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้ เพื่อจะได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้

1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุก ครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น

2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง

3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น

4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ

5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่า การอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ

6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น

7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือ ว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้

8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น

อย่าลืมทบทวนตำราเรียนทุกวันนะคะ แล้วเอาเทคนิคทั้ง 8 ไปใช้ดู เผื่อประสิทธิภาพในการอ่านจะทำให้เกรดภาคเรียนต่อไปดีขึ้นทันตาก็ได้

Credit บทความ http://fahsai26.myfri3nd.com/blog/2011/01/17/entry-2
และภาพสวยๆ จาก สสส

นอนอย่างไรทำสมองใสยามเช้า?


เผย 5 เคล็ดลับหลับสบาย ตื่นยามเช้าทำสมองใส จิตใจสมดุล พร้อมสู่การเรียนรู้

หนุ่ม-สาววัยใสที่มักมีอาการสมองตื้อ ระหว่างวันความคิดแล่นช้า ขณะเดียวกัน ยังมีอารมณ์ขุ่นมัวร่วมด้วย ลองรีสตาร์ท (Restart) ระบบร่างกายตั้งแต่ก่อนนอน ด้วย “5 เคล็ดลับ” ต่อไปนี้

เริ่มจาก อาบน้ำอุ่นก่อนนอน จะทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้น ระหว่างนั้น อาจหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ปริมาณเล็กน้อยลงอ่างน้ำ ซึ่งมีคุณสมบัติระงับประสาทให้รู้สึกสงบ และผ่อนคลาย ทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ ทั้งยังช่วยคลายอาการตึงตัวของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ด้วย

เลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้หลับไม่ลง อย่าง คาเฟอีน นิโคติน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารรสหวาน จากกาแฟ, ชา, โคล่า, โกโก้, ช็อคโกแลต สูบบุหรี่ รวมทั้งไม่รับประทานมื้อหนักก่อนนอนอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง หากหิวควรทานนมอุ่น ๆ ดีกว่า

4 ชั่วโมงก่อนนอนไม่ควรออกกำลัง เพราะมีผลกระตุ้นกล้ามเนื้อ โดยร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้หลับยาก ทั้งนี้ การออกกำลังกายช่วงเช้า หรือเย็น ประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินสารเคมีที่สร้างจากสมอง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

ทั้งนี้ จากรายงานของหน่วยงานที่ศึกษาด้านการนอนหลับ ของสหรัฐฯ พบว่า การสัมผัสกับแสงไฟนีออนยามนอน ส่งผลต่อคุณภาพการหลับลดลง โดยแสงดังกล่าว จะไปกดการทำงานของเมลาโทนินฮอร์โมนตามธรรมชาติ ซึ่งควบคุมการนอนหลับ ดังนั้น ไม่ควรเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืน

เมื่อตื่นนอนตอนเช้า ใช้เวลา 5 นาทีออกไปรับลม และแสงนอกระเบียง หรือหน้าต่าง จะกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น อารมณ์แจ่มใส สมองตื่นตัว เพียงเท่านี้ก็บอกลาอาการง่วงซึมระหว่างวันได้แล้ว แนะนำวัยเรียนลองไปพิสูจน์กันดู.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้ "ง่วง"!


คุณเคยสงสัยตัวเองบ้างไหมค่ะว่าทำไมถึงได้มีอาการง่วงนอนตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม นั้นคุณลองสังเกตตัวเองดูนะค่ะว่าได้กินอาหารที่มีสาเหตของการง่วงนอนตลอดเวลาบ้างรึเปล่าค่ะ

1. กาแฟ ดื่มกาแฟตอนเช้าโดยที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่าจะทำให้ง่วงได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟได้ 30 นาที กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมองส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้นแล้วความง่วงก็จะตามมา

2. กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็วช่วยสลายความเครียด ฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟรินจากกล้วยจะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข แต่ถ้ารับประทานกล้วยมากเกินไปจะทำให้เราเกียจคร้านและไม่อยากขยับเคลื่อนไหวร่างกาย

3. ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ง่วงนอน ดังนั้น ช็อกโกแลตจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยให้นอนหลับและถ้าหากมีโกโก้ในปริมาณสูงก็จะทำให้รู้สึกมีความสุข

4. ครัวซองต์ หากรับประทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้นจะรู้สึกง่วงนอน เพราะครัวซองต์มีปริมาณแป้งขัดขาวมากและอุดมไปด้วยไขมันอีกด้วยซึ่งไขมันจำเป็นต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้น เมื่อรับประทานครัวซองต์เข้าไปร่างกายก็จะดึงเลือดจากสมองไปที่กระเพาะเป็นจำนวนมากเมื่อสมองมีเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอก็จะทำให้ง่วงนอน หากคุณต้องทำงานเร่งด่วนก็ควรรับประทานครัวซองต์ได้แค่ชิ้นเล็ก ๆ หนึ่งชิ้น

5. ขนมปังขาวและข้าวขาว อาหารทุกชนิดที่ทำมาจากแป้งขัดขาวเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ง่วงเหตุผลก็คือ มันเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วนจึงทำให้ตับอ่อนต้องหลั่งอินซูลินออกมามากจึงทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน

6. ถั่วเปลือกแข็ง มีกากใยอาหารมากซึ่งจะไปชะงักกระบวนการย่อยอาหารและยังถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่โดยไม่ได้ย่อย และกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่จัดการกับกากใยอาหาร ผลก็คือทำให้ท้องอืดเฟ้อและง่วงนอนโดยเฉพาะถ้ารับประทานถั่วผสมเกลือก็จะทำลายวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบีซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

7. ของหวาน เช่น ขนมหวาน เค้ก คุกกี้ เครื่องดื่มหวาน ๆ น้ำตาล ทำให้ง่วงนอนและยังเป็นตัวแย่งวินามินบีไปจากร่างกายเราด้วย เช่น วิตามินบี 1 บี 3 บี 6 และกรดโฟลิก และเมื่อร่างกายขาดแคลนวิตามินดังกล่าวก็จะทำให้เรี่ยวแรงถดถอยจึงส่งผลให้รู้สึกง่วง

8. ผลิตภัณฑ์นมหรือโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ถ้ารับประทานโยเกิร์ตเข้าไปมากก็จะทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและโปรตีน แต่ในขณะเดียวกันโปรตีนที่ว่านี้ก็จะแยกกรดอะมิโนจากร่างกายซึ่งจะส่งผลให้มีกรดมากเกินในร่างกายและทำให้ง่วงตลอดเวลา



ขอขอบคุณ : นิตยสาร Lisa

ประวัติวันลอยกระทง !


วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย



ประวัติ
เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป[ต้องการอ้างอิง] แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่1




ความเชื่อ
ป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพระยามารได้

ทำไมกินไอศกรีมแล้วปวดหัว!


ยิ่งอากาศ ร้อนอย่างนี้ อาหารการกิน หรือเครื่องดื่มเย็นๆ มักเป็นที่สนใจขายดี เป็นเทน้ำเทท่า โดยเฉพาะไอศกรีมนี่ ยิ่งถูกใจกันนัก ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่

รสชาติของไอศกรีมที่ทั้งหวานทั้งเย็นนั้น

คุณๆ เคยนึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบางทีกินไอศกรีมแล้ว มันถึงได้ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาได้ทันที คำถามอันนี้ตอบได้ไม่ยากค่ะ ลองไปเสาะแสวงหาคำอธิบายจากท่านผู้รู้ได้ดังนี้ค่ะ

การที่เรากินไอศกรีมหรือเครื่องดื่มเย็นๆ

แล้วทำให้เรารู้สึกปวดหัวขึ้นมาได้นั้น เป็นเพราะว่า เจ้าอาหารหวานเย็นพวกนั้น ไปแตะที่เพดานปาก เลยทำให้ระบบประสาท มีปฏิกิริยาต่อความเย็น ทำให้หลอดเลือดในสมองบวมโตขึ้น อันนี้เลยเป็นสาเหตุทำให้ มักจะปวดหัวเวลากิน ของเย็นเจี๊ยบเข้าไป แต่ก็มักจะหายได้ในเวลาไม่กี่นาที เมื่อหลอดเลือดยุบตัวลง จะหลีกเลี่ยงอาการ "ปวดหัวหวานเย็น" ลงได้นั้น ผู้ รู้แนะนำไว้ว่า เวลาจะกินไอศกรีมหรือของหวานเย็น ต้องค่อยๆกิน ให้เวลาเพดานปากได้คุ้นเคยกับอุณหภูมิ ที่เปลี่ยนแปลงสักหน่อยเมื่อกัดกินของหวานเย็นลงไปแต่ละคำ.

กินแบบไหนถึงหาย “ร้อน”


ลดการกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไขมันและแป้ง เนื่องจากอาหารประเภทนี้ต้องใช้พลังงานในการย่อยค่อนข้างสูง ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนัก ซึ่งจะเกิดความร้อนขึ้นภายในร่างกาย นอกจากนั้นก็ยังเป็นอาหารกลุ่มที่ให้พลังงานมาก ซึ่งถ้ากินมากเกินไปก็จะทำให้ได้รับพลังงานเกินความจำเป็น ดังนั้นควรเปลี่ยนไปกินอาหารพวกผักและผลไม้มากขึ้น

ดื่มน้ำสะอาดเพิ่มขึ้นในฤดูร้อนจะทำให้เราเสียเหงื่อได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจะต้องดื่มน้ำเข้าไปชดเชยเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ โดยเฉพาะคนที่จะต้องอยู่กลางอากาศร้อนจัด แดดแรง หรือต้องออกกำลังกายกลางแจ้ง ควรดื่มน้ำให้ได้ 4-6 แก้วต่อชั่วโมง ส่วนน้ำที่ใช้ดื่มนั้นควรเป็นน้ำสะอาดที่อุณหภูมิห้อง ควรหลีกเลี่ยงน้ำหวาน เพราะจะทำให้รู้สึกกระหายน้ำเพิ่มมากขึ้น และไม่ควรดื่มน้ำเย็นจัด เพราะจะทำให้ป่วยได้ง่าย เนื่องจากร่างกายปรับอุณภูมิไม่ทัน และควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เส้นเลือดขยายตัวมากขึ้น ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำได้ง่าย อีกทั้งในอากาศร้อน แอลกอฮอล์จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วกว่าปกติ ทำให้เมาได้ง่ายและอาจช็อกหมดสติได้

กินอาหารที่สด สะอาด และปรุงสุก เนื่องจากในหน้าร้อนเชื้อโรคจะเจริญเติบโตได้ดี ทำให้อาหารเน่าเสียได้ง่าย ซึ่งเมื่อกินเข้าไปอาจเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้ จะเห็นได้จากที่กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศเตือนให้ระวังอันตรายจากโรคในหน้า ร้อน เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคอาหารเป็นพิษ โรคบิด เป็นต้น ซึ่งสามารถป้องกันได้จากการดูแลความสะอาดของอาหารและน้ำดื่ม รวมถึงรักษาสุขลักษณะส่วนบุคคล

กินอาหารรสขมเย็น อาหารที่มีสรรพคุณทางยาในรสขมเย็น จะช่วยขับร้อน แห้กระหาย ถอนพิษไข้ แก้ร้อนใน ซึ่งอาหารในประเภทนี้ก็มีหลายชนิด เช่น มะระ ฟักเขียว ปวยเล้ง ผักกาดขาว แตงกวา ผักบุ้ง แตงโม สาลี่ เป็นต้น



ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของสสส.
และวิชาการดอทคอม - thaihealth

นั่งหน้าคอมฯนานๆอาจตายได้!


สำหรับผู้ที่ต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ควรที่จะระมัดระวังโรคที่เกี่ยวกับการนั่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานหรือที่เรียกว่า DVT

อาการเลือดจับตัวเป็นก้อนเมื่อนั่งใช้คอมพิวเตอร์นานๆ (DVT)
แพทย์เชื่อว่าอาการเลือดจับตัวเป็นก้อนลิ่มในเส้นเลือดของผู้ป่วยใกล้ตายรายหนึ่ง สาเหตุมาจากการที่ใช้เวลานั่งทำงานอย่างต่อเนื่องกับคอมพิวเตอร์นานเกินไป โดยที่ไม่ได้มีการขยับร่างกาย หรือลุกออกไปไหนเลย มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า คอมพิวเตอร์สามารถทำให้คุณตายได้ ซึ่ง เราไม่ได้กำลังพูดถึงนักเล่นเกมที่ตายหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ หลังจากอดอาหาร และน้ำต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน แต่หมายถึงใครก็ตามที่จะได้รับผลกระทบจากการใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่กับโต๊ะ คอมพิวเตอร์

นักวิจัยที่ประเทศนิวซีแลนด์พบว่าการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง อาจทำให้เลือดแข็งตัวเป็นก้อนลิ่ม เป็นอันตรายถึงตายได้ ลักษณะคล้ายๆ กับการเกิดอาการที่เรียกว่า DVT (Deep Vein Thrombosis) ซึ่งเกิดจากการนั่งเครื่องบินในระยะทางไกลๆ โดยเฉพาะชั้นที่นั่งราคาประหยัด บางทีจึงเรียกอาการนี้ว่า “economy-class sysdrome” ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยที่ได้ข้อมูลว่า ชายวัย 32 ปี ผู้หนึ่งที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าเทอร์มินัลคอมพิมเตอร์ประมาณ 18 ชั่วโมงต่อวันซึ่งอาการโคม่า เนื่อง จากเกิดอาการเลือดจับตัวเป็นก้อน โดยก้อนเลือดที่เกิดขึ้นนี้จะอยู่ในบริเวณขาบอบเขา ก่อนที่จะแตกกระจายและเดินทางไปยังปอดทั้งสองของเขาอีกทีหนึ่ง อาการที่เรียกว่า DVT นี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีเลือดขันอยู่ในเส้นเลือดดำ ซึ่งมันจะค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองไปเป็นก้อนลิ่ม
โดยอาการที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนคือ ขา จะเริ่มบวม ส่วนอาการที่อันตรายจะเกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดแตกออก และเดินทางไปยังหัวใจ หรืออวัยวะภายในที่สำคัญๆ ซึ่งผลลัพธ์ของอาการที่เกิดขึ้นจะไม่อาจคาดเดาได้

ข้อแนะนำ

นอกจากการที่ไม่ควรนั่งทำงาน หรือเล่นคอมพิวเตอร์นานเกินไปแล้ว ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่รู้สึกว่านั่งนานเกินไปให้พยายามกระดิกนิ้วเท้า และข้อเท้า ดื่มน้ำ และไม่ควรดื่มอัลกอฮอล์ นอกจากนี้ ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่นั่งนานควรจะลุกขึ้นและยืดขาอย่างน้อยๆ ชั่วโมงละ 1 ครั้ง การใช้ยาแอสไฟริน ซึ่งช่วยให้เลือดไม่ข้นเกินไปก็สามารถช่วยได้เหมือนกัน การนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ในท่าทางที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงบ้าง ผู้เชี่ยวชาญบางท่านยังตั้งข้อสังเกตว่าผู้ใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์จะเสี่ยง ต่ออาการผิดปกติที่ว่านี้เป็น 2 เท่า โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนั่งทำงานกับโน้ตบุ๊กในชั้นที่นั่งราคาประหยัดบนเครื่อง

ที่มา www.thaigcd.ddc.moph.go.th/index.html

เครื่องดื่มซ่า ที่น่ากลัว


ในบรรดาเครื่องดื่มต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน น้ำอัดลม เป็นเครื่องดื่มที่จัดว่าไร้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง แถมยังเป็นโทษต่อสุขภาพอย่างมาก

มองไปบนโต๊ะในร้านอาหารเกือบทุกแห่ง น้ำอัดลมหลากสีจัดเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม สำหรับหลาย ๆคนในบ้านเราและบ้านอื่น ทั่วโลก

นอกจากรสหวานที่ดึงดูดใจให้ต้องดื่มเป็นประจำแล้ว ความซ่าจากคาร์บอเนตก็ติดตราตรึงใจผู้คนไม่น้อย แม้จะมีราคาไม่สูงแต่เมื่อเทียบกับประโยชน์และโทษ นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่ควรหลีกหนีให้ไกล

ประการแรก น้ำตาลที่สูงมากในน้ำอัดลมทุกขวด เป็นตัวสร้างปัญหาให้กับเราในเรื่องน้ำหนักตัวที่เกินปกติ เพราะน้ำอัดลม 1 กระป๋องหรือขวด มีน้ำตาลสูงเทียบเท่าน้ำตาลทราย 15-20 ช้อนชา เรียกว่าเราได้พลังงานมหาศาลถึง 300-400 แคลอรี่ หากใช้ไม่หมดมันก็จะสะสมเป็นชั้นไขมันในพุง หรือในต้นขาของเรา

ประการที่สอง การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ และบ่อย ๆ ไม่เป็นผลดีต่อระบบภายในร่างกาย เมื่อน้ำตาลสูงร่างกายก็ต้องพึ่งฮอร์โมนอินซูลินในการลดน้ำตาลในเลือด ตับอ่อนก็ต้องทำงานหนัก ก็อาจเกิดความเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ ก็เป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน

จากเบาหวานก็จะมีอีกสารพัดโรคที่ตามมา อาทิ ความดันสูง หลอดเลือดตีบ โรคหัวใจ

แต่ท่านที่ติดความซ่าอาจคิดเลี่ยงไปซดเครื่องดื่มประเภทไร้แคลอรี่หรือปราศจากน้ำตาล แต่ท่านทราบไหมว่าเป็นการหนีเสือปะจระเข้ เพราะยิ่งดื่มจะยิ่งมีโอกาสอ้วน

จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยเท็กซัสกว่า 8 ปีต่อเนื่อง ได้มีข้อสรุปว่าผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มประเภทปราศจากน้ำตาลและใส่สารทดแทนความหวานจะมีโอกาสน้ำหนักเกินกว่ากลุ่มปกติการศึกษาชี้ถึงความเสี่ยงที่จะอ้วนสูงถึง 41% สำหรับทุก ๆ ขวดที่ดื่มเข้าไป

สาเหตุที่การดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาลแต่กลับมีโทษต่อร่างกายมากกว่าเพราะสารทดแทนความหวานสร้างปฏิกิริยาทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเก็บกักไขมันมากกว่าปกติ มากกว่าการเก็บจากภาวะที่เราได้จากน้ำตาลธรรมชาติ

ประการต่อมา ความประมาทของผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่คิดว่าไม่มีน้ำตาลหรือกังวลเรื่องน้ำหนักตัว ทำให้เผลอใจกินอย่างไม่ระมัดระวัง กว่าจะรู้ตัวอีกที อ้วนเสียแล้ว

สำหรับผู้ที่รักสุขภาพอย่างแท้จริง เครื่องดื่มประเภทนี้ควรหลีกหนีให้ไกลเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้



ที่มา ... Never-Age

ไม่กินคาร์โบไฮเดรต ทำสมองเฉื่อยชา


หลายคนใช้วิธีลดหรืองดรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเพื่อลดน้ำหนัก โดยเฉพาะผู้ที่ใช้วิธีลดน้ำหนักแบบแอทกินส์ ที่สนับสนุนให้ลดคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล แต่ให้รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์และไขมันได้

จากการศึกษาผลกระทบของสมองจากการรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ ในหญิง 19 คน อายุระหว่าง 22 - 55 ปี ของ ดร.ฮอลลี่ เทย์เลอร์ จากมหาวิทยาลัยทัฟส์ สหรัฐอเมริกา พบว่าภายใน 1 อาทิตย์ หญิงที่รับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ มีคะแนนทดสอบทางสมองด้านการจำน้อยกว่ากลุ่มหญิงที่ลดความอ้วนด้วยการรับประทานอาหารที่มีแคลอรีน้อย

ดร.เทย์เลอร์กล่าวว่า "คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งสร้างพลังงานที่สำคัญของสมอง ซึ่งการลดการบริโภคคาร์โบไฮเดรตเป็นการลดจำนวนกลูโคสและน้ำตาลที่ใช้ไปเลี้ยงเซลล์สมอง"

แหล่งอาหารที่ให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มันข้าวโพด พืชผักและผลไม้ที่มีรสหวาน ขนมและอาหารที่ทำจากแป้งหรือข้าว


เพราะฉะนั้น หากใครที่ไม่อยากมีสมองที่เฉื่อยชา ล่ะก็ต้องทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตให้ครบตามที่ร่างกายต้องการเป็นประจำทุก ๆ วันนะคะ
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

หนังสือถึงจะเปียก ก็ซ่อมได้ !!


หนังสือถึงจะเปียก ก็ซ่อมได้ !!!


ในเวลาที่น้ำท่วมเวอร์ขนาดนี้ การเตรียมพร้อมในแต่ละบ้านคงหนีไม่พ้น การเก็บ "ของมีค่า" ขึ้นที่สูงให้หมด และเจ้า "ของมีค่า" ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนะ บางสิ่งมันมีคุณค่าทางใจของเราโดยที่คนอื่นก็ไม่รู้

และของมีค่าของคนรักการอ่าน ก็คงจะไม่อะไรไปไม่ได้นอกจาก "หนังสือ" ซึ่ง SmiLelY ก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ ก็เราซื้อมาด้วยเงินของเรานี่น่า ที่สำคัญ กระดาษกับน้ำมันถูกกันซะที่ไหนล่ะ แค่โดนฝนนิดเดียวยังบวมเลย จริงมั้ย? เพราะงั้นเราทั้งหลายก็ต้องขนๆๆๆไปไว้ในที่ที่คิดว่าสูงที่สุด ปลอดภัยที่สุดอยู่แล้ว

แต่ด้วยสถานการณ์ที่เชื่อถืออะไรไม่ได้สักอย่างคงไม่มีความแน่นอนอะไรอีกแล้ว เพราะที่ออกมาเตือนๆบอกกันก็ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง สรุปเอาง่ายๆตามภาษาชาวบ้านธรรมดาๆอย่างเราว่า "มันท่วมแน่นอน" เตรียมไว้เลยสองเมตร

เพราะงั้นหนังสือที่เก็บไว้สูงๆๆแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าจะรอดปลอดภัยไม่มีเปียกนะจ้ะ

แต่ถ้าเกิดเหตุขึ้นจริง อย่าเพิ่งตระหนกตกใจไป เพราะยังพอมีวิธีแก้ไขอยู่บ้าง ถ้าหากว่าไม่ถึงขั้นจมน้ำจนกระดาษเปื่อย หรือลอกกระดาษหลุดเป็นแผ่นๆ TTTOTTT
แยกตามระดับการเปียก ถ้าหนังสือเปียกไม่มาก อันดับแรกให้ใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ ซับน้ำส่วนเกินออกก่อน ห้าม! ขัดถูหรือเช็ดแรงๆ หรือพยายามแกะ หรือแซะเอาโคลนออกด้วยแปรง หรือของแข็ง และก็ไม่ควรใช้สบู่ ยาขจัดคราบสกปรก ผงซักฟอก ครีมน้ำยาต่างๆ เด็ดขาด เพราะจะเป็นอันตรายและเพิ่มความเสียหายแก่หนังสือมากขึ้น

จากนั้นก็เอามือลูบกระดาษให้เรียบก่อนที่จะเอาไปวางแช่ในช่องแช่แข็งตู้เย็นประมาณ 1 วัน ซึ่งจะแห้งช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับระดับความเปียกและความหนาของหนังสือ โดยวางให้ส่วนที่เปียกอยู่ด้านบน ก่อนจะหาอะไรมาทับซักนิด แล้วจะได้หนังสือที่มีแผ่นกระดาษเรียบๆ เหมือนเดิม

อ่อ!ถ้ามีหลายเล่ม ห้ามวางซ้อนกันเด็ดขาด ไม่งั้นพอแห้งแล้วปกจะติดกัน คราวนี้จะเป็นปัญหายิ่งกว่าหนังสือเปียกซะอีก

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ อย่าเอาของกลิ่นแรงๆ แช่พร้อมหนังสือนะ เพราะกระดาษมีคุณสมบัติในการดูดกลิ่น ไม่งั้นอาจจะได้หนังสือกลิ่นทุเรียนออกมาดมเล่นแน่ๆ

หลายคนคงสงสัยว่ามันจะแก้ได้จริงเหรอ จะออกมาเรียบเหมือนเดิมจริงเหรอ

สาเหตุที่กระดาษเรียบได้นั้น ก็เพราะว่าเมื่อกระดาษเปียกน้ำเจอความเย็น โมเลกุลของน้ำจะขยายตัว ช่องว่างในกระดาษจะมีการเรียงตัวใหม่ กระดาษก็เลยเรียบเนียนเหมือนเดิมนั่นเอง

ในกรณีที่ตู้เย็นแช่ผักกักตุนอาหารไว้เต็มจนแทบไม่เหลือที่ว่างให้หนังสือ ก็ไม่ต้องกังวล เพราะมีวิธีซักแห้งมาเสนอ โดยมีอุปกรณ์สำคัญที่นอกเหนือจากผ้านุ่มๆ สะอาดๆ ก็คือ แป้งเด็กที่ไม่มีสีและกลิ่น

โดยเริ่มจากนำผ้าสะอาดมาซับน้ำจากกระดาษทีละแผ่นๆ ที่ค่อยๆ คลี่ออกจากกัน จากนั้นก็โรยแป้งเด็กลงบนกระดาษทุกหน้าที่เปียก โดยเกลี่ยให้เสมอกัน ก่อนที่จะนำไปไว้ที่แห้งๆ แล้วนำของที่มีน้ำหนักมากๆ ทับลงไปให้เรียบไปกับพื้นผิวที่วาง ทิ้งไว้ประมาณ 2-7 วัน จะช้าเร็วก็ขึ้นกับว่าเปียกมากน้อย และปริมาณความชื้นในอากาศ

ซึ่งทั้งหมดต้องรีบทำทันที! อย่าทิ้งไว้นาน เพราะถ้าแช่น้ำนานๆ ต่อให้เทวดาเหาะลงมาก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเชื้อราจะสามารถเติบโตได้ภายในเวลา 24 ชั่วโมง

คงจะช่วยได้ในระดับนึงล่ะนะ แต่สำหรับบ้านที่มีชั้นเดียว อาจหนีไม่รอด ถ้าแช่เป็นเดือนๆก็คงต้องบอกว่า "เสียใจด้วยจริงๆ" ดังนั้น ถ้ามีเล่มโปรด เล่มหายากจริงๆ ขนไปฝากบ้านญาติ หรือคนรู้จักเลยจะดีกว่า





ขอบคุณ : matichon.co.th

เวลาเหลือน้อย ใครไม่พร้อม สอบไม่ติดแน่ !


ปีนี้เป็นปีการศึกษาที่วุ่นวายมากพอสมควร

เนื่องจากเกิดเหตุการณ์อุทกภัยใหญ่ ในรอบหลายร้อยปีเลยก็ว่าได้

จึงทำให้ ปฎิทินรับสมัคร หลายๆมหาวิทยาลัยเลื่อนไป

รวมไปถึง การสอบ GAT-PAT ที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก

โดยครั้งนี้จะสอบวันที่ 24 - 27 ธันวาคม 2554

หลายคนก็แอบดีใจเนื่องจากมีเวลาอ่านมากขึ้น

แต่ผมอยากจะเตือนเลยว่า

ถ้า ณ ปัจจุบันนี้คุณ ยังอ่านหนังสือสำหรับสอบ GAT-PAT ไม่จบ

อาจจะทำให้คุณสอบไม่ติดได้

เพราะว่า

เวลาจริงๆเหลือไม่มากอย่างที่คิด

ปัจจุบันวันที่ 1 พย 2554

สอบ GAT-PAT 24-27 ธันวาคม 2555 คุณเหลือเวลา 54 วัน

หลังจากสอบนั้นต้องสอบ

7 วิชาสามัญ วันที่ 7-8 มกราคาม 2554

นั่นหมายความว่าคุณมีเวลาเหลือหลังจากที่ต้องสอบ GAT-PAT 1/2555

อีกแค่ประมาณ 10 กว่าวันเท่านั้น

แล้วช่วงนั้นอยู่ระหว่างปีใหม่ อาจจะทำให้ความสามารถในการอ่านหนังสือลดลง !!!

ดังนั้น ถ้าใครบอกตัวเองว่า ยังมีเวลาอีกเยอะ

นั่นหมายถึง หายหนะ !!!

( ดังนั้นตอนนี้ควรจะเริ่มอ่านไทย สังคม ได้แล้ว )

หลังจากสอบ 7 วิชา ด่านต่อไปคือสอบ O-NET

สอบวันที่ 17 และ 18 กุมภาพันธ์ 2555

โดยเราจะมีเหลือเวลาให้เตรียมตัว ประมาณ 40 วัน

โดยการสอบ ONET ผมคิดว่ามีความสำคัญมากๆ เพราะทุกคนมีโอกาสสอบได้เพียงหนเดียว

หลังจากนั้น คือการสอบใหญ่ครั้งสุดท้ายของคนที่ยังไม่มีที่เรียน

นั่นก็คือการสอบ GAT-PAT รอบ 2/2555

ในวันที่ 3-6 มีนาคม 2555

เหลือเวลาไม่ถึง 15 วัน >..<

สุดท้ายนี้

เหลือแค่เวลาประมาณ 120 วัน

สำหรับการใช้ชีวิตใน ฐานะนักเรียน

สำหรับการใช้ชีวิตใน การอ่านหนังสือ

สำหรับการใช้ชีวิต กับการสอบ

สำหรับการใช้ชีวิต การเดินตามความฝัน

ถ้าใครยังไม่ได้เริ่ม นั่นยังไม่สาย แต่ต้องพยายามให้มาก

ถ้าคนที่คิดว่าทำเต็มความสามารถแล้ว จงทำให้เกินความสามารถ

ทุกวินาทีที่เหลือ อย่างมีค่า

ทำทุกอย่างให้เต็มที่

จะได้มีเสียใจภายหลัง

อนาคตอยู่ในมือคุณ !!

วิธีแก้ง่วงเวลาอ่านหนังสือ


1. นั่งหลังตรงครับ เมื่อไหร่ที่เริ่มงอและเริ่มคลานนั่นคืออาการของความง่วงแล้วครับ

2. หยุดพักสายตาจากการอ่านหนังสือสักพักครับ เงยหน้าขึ้นมามองวิวทิวทัศน์ซักหน่อย

3. ล้างหน้าล้างตากันสักนิด ออกเดินทางไปห้องน้ำสักหน่อย เป็นไปได้ก็ไปโปเตโต้กันในห้องน้ำนะครับ -*- “ลืมตาในน้ำ” 55+ อื้อช่วยได้ลองดู หลังจากเป็นโปเตโต้กันแล้วเราจะกลายเป็นโมเดินด๊อกกันต่อเลย “ตาสว่าง” 55+ พอ ๆ ขอโทษครับ อย่าเพิ่งปิดครับ อ่านต่อเถอะ ผมจะไม่เล่นมุขอีกแล้วค๊าบบ เอิ้ก ๆ

4. ชวเลขแก้เซ็ง งงอ่าดิ 55+ มันก็คือการ Short note นั่นแหล่ะครับ มันจะช่วยให้เราคิดในสิ่งที่ได้ฟังได้รับและถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ ทำให้เรามีสติในการเรียนการอ่านมากยิ่งขึ้นครับ นอกจากทำให้หายง่วงแล้ว ยังเป็นการทบทวนความรู้ไปในตัวด้วยครับ

5. ยืดเส้นยืดสายกันดีกว่า ลองวางหนังสือและลุกขึ้นมาเต้นท่าบ้า ๆ บอ ๆ หน้ากระจกสัก 1 นาทีครับ เอาให้เตลิดสุด ๆ ไปเลย หรือไม่จะกระโดดตบหรืออะไรก็ได้ครับ มันจะทำให้ร่างกายของเราหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งออกมา แล้วทำให้เราไม่ง่วง ทดลองดูได้ครับ ก่อนนอนไปวิ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ สักหลาย ๆ รอบแล้วมานอนดู เราจะนอนไม่หลับ หรือถ้าจะหลับก็ใช้เวลานานมาก ๆ

6. จ้างวานคนแถวนั้น ถ้าเป็นที่โรงเรียนก็เพื่อน ๆ ถ้าเป็นบ้านก็พ่อแม่พี่น้อง ให้เค้าคอยดูคอยเรียกด้วยถ้าหลับ ของพวกผมที่อยู่ในห้องเรียนเวลาใครหลับจะตกลงกันเลยให้รุมกัน “อั๊ก” (ทุบหลัง) ได้เลย 55+ ช่วยได้มากครับ มันจะไม่มีใครกล้าหลับเลย เพราะทุกคนในห้องมันจ้องอยู่ แนวว่า “หลับเมื่อไหร่น่ารักตาย”

7. นกหวีดช่วยชีวิต อันนี้ก็ง่าย ๆ ครับ ลุกขึ้นมาเป่านกหวีดปี๊ดดดดด.... ~ ดัง ๆ เอาให้สุดลมหายใจ และให้แสบแก้วหูสุด ๆ ไปเลย ช่วยได้เหมือนกัน

8. ตะโกนให้กำลังใจตัวเองไปเลยครับ ประกาศให้คนทั่วบริเวณนั้นได้รับรู้ 55+ “กุเก่งว้อยยย!!” “กุไม่ง่วงหรอกเว้ยยย” “อีกนิดเดียวจะเสร็จแล้ววู้ยยย” “สู้เค้าโว้ยย” อะไรก็แล้วแต่อ่ะ คิด ๆ กันขึ้นมา 55+

9. รับบทนางเอกเจ้าน้ำตาครับ หลังจากวิธีธรรมดามันเอาไม่อยู่ -*- ซาดิสต์กันขึ้นมาอีกระดับ อันนี้ผมไม่แนะนำให้ทำกันนะครับ แต่บางครั้งสถานการณ์เลวร้าย สอบพรุ่งนี้เรายังไม่ได้อ่านสักตัวเลย วิธีนี้ก็ช่วยได้ ทาถู ๆ ตรงโหนกแก้วต้าอ่ะครับ สักพักจะเกิดอาการเศร้าซึ้ง น้ำตาพรากกันเลยทีเดียว ไม่หลับชัวร์ครับ

10. แก้ง่วง 7 บาท อันนี้ต้องขอบคุณบทความในเด็กดีครับ ผมเคยอ่านเจอ เค้าบอกให้ไปซื้อน้ำแข็งถุงละ 7 บาทมาใส่กะละมังแล้วเอาเท้าแช่น้ำเย็น ๆ ในนั้นอ่ะครับ ผมเองก็ยังไม่เคยลองเหมือนกันแต่เห็นเค้าว่ามาแบบนี้ ใครลองแล้วว่าไงก็มาบอกกันบ้างแล้วกันครับ