ดื่ม "เลือด" อันตรายมั้ย...?



เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวหนุ่มน้อยชาวเท็กซัสนามว่า ไลล์ เบนส์ลีย์ อุตริบุกเข้าไปกัดคอหญิงสาวถึงห้องนอน

โดยอ้างว่าตัวเองเป็นผีดูดเลือด และต้องกินเลือดเท่านั้นถึงจะอยู่ได้ แต่ความจริงก็คือ เลือดเป็นเครื่องดื่มพิษสำหรับเรา จริงอยู่ที่มันช่วยหล่อเลี้ยงร่างกาย แต่เลือดเต็มไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งขับออกจากร่างกายได้ลำบากอยู่แล้ว ดังนั้น หากเรากินเลือด ธาตุเหล็กจะสะสมในร่างกายและเกิดภาวะอีโมโครมาโทซิส ซึ่งอาจทำให้ตับเสียหาย ร่างกายขาดน้ำ ความดันโลหิตต่ำ จนถึงระบบประสาทผิดปกติได้ ซ้ำร้ายหากมีโรคติดต่อทางกระแสเลือด มันก็จะเป็นพิษแน่ๆ อีก... จำไว้นะจ๊ะว่าคุณไม่ใช่แวมไพร์ อย่าเผลอไปกินตับ เอ้ย กินเลือดใครเค้าล่ะ ไม่อร่อยหรอก





เครดิต : teenee.com

รู้ไว้ใช่ว่า : ฉลากบนผลไม้



Conventional Fruit Labels – Four digits starting with 4
ฉลากผลไม้ทั่วไป – มีตัวเลขสี่หลัก ขึ้นต้นด้วย 4 เช่น 4 xxx

Organic Fruit Labels – Five digits and starts with number 9
ฉลากผลไม้ Organic ( ผลไม้ที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี) – มีตัวเลขห้าหลัก ขึ้นต้นด้วย 9 เช่น 9 xxxx

Genetically Modified Fruits (GMO) -Start with the digit 8
ฉลากผลไม้ GMO ( ผลไม้ที่ปลูกโดยใช้พันธ์ที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม) – มีตัวเลขห้าหลัก ขึ้นต้นด้วย 8 เช่น 8xxxx

So next time you go shopping, remember these critical numbers and know how to avoid purchasing inorganic and GMO fruits. Shop Safe :
This is good to know because stores aren’t obligated to tell you if a fruit has been genetically modified .
ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณจะเลือกซื้อผลไม้ จำไว้ว่าตัวเลขสำคัญที่คุณควรรู้ เพื่อจะหลีกเลี่ยงการซื้อผลไม้ที่มีสารเคมีและผลไม้ GMO



So if you come across an apple in the store and it’s label is 4922, it’s a conventional apple grown with herbicides and harmful fertilizers.
ดังนั้น ถ้าคุณเห็นแอปเปิ้ล ที่มีรหัส 4922 แปลว่า แอปเปิ้ลนี้เป็นแอปเปิ้ลทั่วๆ ไป ที่ปลูกด้วยการใส่ปุ๋ยปกติ

If it has a sticker 99222, it’s organic and safe to eat.
ถ้าแอปเปิ้ลติดสติ๊กเกอร์ มีรหัส 99222 แสดงว่าเป็นแอปเปิ้ลที่ปลูกโดยวิธีปลอดสารเคมี และปลอดภัย

If it says 89222, then do not buy!!!! It has been genetically modified (GMO).
ถ้าแอปเปิ้ลติดสติ๊กเกอร์ มีรหัส 89222 อย่าซื้อ!!!
แสดงว่าเป็นแอปเปิ้ลที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม ( GMO)

สารอันตรายที่มากับอาหารไหว้เจ้า


ในช่วงเทศกาลตรุษจีน มีการจับจ่ายซื้อหาอาหารเป็นจำนวนมากจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อประกอบพิธีเซ่นไหว้ และมักจะเก็บอาหารนั้นไว้รับประทานหลังเสร็จพิธี ซึ่งหากไม่ระมัดระวังในการเลือกซื้อ อาจได้อาหารที่ไม่มีคุณภาพ หรือมีการ ปนเปื้อนสารอันตราย

สารอันตราย 5 ชนิดที่ อย. มักตรวจพบในอาหาร ได้แก่

ฟอร์มาลิน ในอาหารทะเล ผักผลไม้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะส่งผลต่อตับ ไต หัวใจ สมอง และหากได้รับในปริมาณมากอาจถึงขั้นเสียชีวิต
บอแรกซ์ ในลูกชิ้น ตังกวยแฉะ (ขนมฟักแห้ง) ขนมอี้ หากเข้าสู่ร่างกายอาจทำให้เกิดอาการพิษเฉียบพลัน อาเจียน ท้องเสียเป็นเลือด ผิวหนังร้อนแดง ความดันลด หมดสติ และเสียชีวิตได้
สารกันรา หรือกรดซาลิซิลิค ในผักดอง ผลไม้ดอง เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้
สารฟอกขาว ในถั่วงอก เต้าหู้ หน่อไม้จีน ขิงซอย และเส้นก๋วยเตี๋ยว หากเข้าสู่ร่างกายจะเกิดอาการอักเสบบริเวณอวัยวะที่ได้สัมผัส เช่น ปาก กระเพาะอาหาร แน่นหน้าอก ปวดท้อง อาเจียน และอาจเสียชีวิตได้
สารฆ่าแมลง ในผักสด ผลไม้ และปลาหมึกแห้ง หากได้รับในปริมาณมาก ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อสั่น ชักกระตุก หายใจขัด หมดสติ และอาจทำให้เป็นโรคมะเร็งได้


ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย อย. จึงมีข้อแนะนำในการเลือกซื้ออาหาร ดังนี้ อาหารสด ต้องมีสภาพปกติ เนื้อแน่น สีสม่ำเสมอตามธรรมชาติ ปราศจากกลิ่นที่น่ารังเกียจ หรือกลิ่นฉุน แสบจมูก และมีการเก็บรักษาระหว่างการจำหน่ายที่ถูกสุขลักษณะ ผักและผลไม้ เลือกที่มีตามฤดูกาล และล้างทำความสะอาดก่อนนำมาประกอบอาหาร หรือรับประทาน ขนมต่าง ๆ เช่น ขนมเข่ง ขนมอี้ ขนมเทียน ตังกวยแฉะ(ขนมฟักแห้ง) ขนมจันอับ ขนมถ้วยฟู ควรเลือกที่สีไม่ฉูดฉาด มีสีกลิ่นรสปกติ บรรจุในภาชนะที่สะอาดและไม่มีสีออกมาปนเปื้อนกับอาหาร อาหารสำเร็จรูปที่ปรุงเสร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไก่ต้ม เป็ดต้ม ของทอดและน้ำจิ้ม ควรเลือกซื้อจากแหล่งผลิตที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ อาหารสำเร็จรูป อาทิ ซอส ซีอิ๊ว ผลไม้กระป๋อง ต้องสังเกตฉลากอาหารให้ครบถ้วน มีเครื่องหมาย อย. และมีการแสดงวันเดือนปีที่ผลิต และหมดอายุ

หลังจากทำพิธีเซ่นไหว้แล้ว ควรเก็บอาหารในอุณหภูมิที่เหมาะสม อาหารที่ปรุงสุก เน่าเสียง่าย ควรเก็บในตู้เย็น และไม่วางอาหารที่สุกแล้ว เช่น ไก่ เป็ด ไว้นานเกินกว่า 2 ชั่วโมงโดยไม่แช่เย็น ที่สำคัญเมื่อจะนำมารับประทานควรอุ่นอาหารก่อนทุกครั้ง

9 ข้อห้ามทำวันตรุษจีน


1. ห้ามทำความสะอาดบ้านในวันตรุษจีน
ชาวจีนมีความเชื่อว่า การทำความสะอาดบ้าน และทิ้งขยะ ในวันตรุษจีนนั้น จะเป็นการการกวาดเอาโชคลาภ เงินทอง ออกไปจากบ้าน แม้ว่าบ้านในช่วงวันตรุษจีนจะสกปรกก็ตาม บางคนที่จำเป็นจะต้องทำความสะอาดบ้าน ก็จะเพียงกวาดเศษฝุ่นไปไว้ที่มุมบ้าน แล้วค่อยเอาเศษฝุ่นนั้นไปทิ้งในวันต่อไป ดังนั้น วันตรุษจีน จึงไม่ค่อยมีคนทำความสะอาดบ้าน แต่จะไปทำความสะอาดกันหนึ่งก่อนวันตรุษจีน เพื่อที่จะให้บ้านสะอาดรับปีใหม่ และใช้บ้านในการต้อนรับแขกที่จะมาเยี่ยมเยียนอีกทางหนึ่ง
2. ห้ามสระผมหรือตัดผม
ชาวจีนจะไม่นิยมสระผมหรือตัดผมกันในวันตรุษจีน หรือบางคนก็จะไม่สระผม 3 วันหลังจากวันตรุษจีน เนื่องจากคำว่า ผม เป็นคำพ้องเสียงและพ้องรูปกับคำว่า มั่งคั่ง ดังนั้น การสระหรือตัดผมในวันตรุษจีน จึงเหมือนกับการนำความมั่งคั่งออกไป
3. ห้ามพูดคำหยาบและทะเลาะเบาะแว้ง
ในวันตรุษจีน คนจีนจะงดพูดคำหยาบและสิ่งที่ไม่ดี รวมไปถึงการพูดถึงความตายหรือผี เนื่องจากเชื่อว่า การพูดสิ่งที่ไม่ดีในวันนี้ จะนำความโชคร้ายมาให้ตลอดทั้งปี รวมไปถึงการที่ไม่พูดถึงเลข 4 เนื่องจากเลข 4 ในภาษาจีน ออกเสียงคล้ายกับคำว่า ตาย ดังนั้น หลาย ๆ คนจึงพยายามไม่ใช้หรือไม่พูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับเลข 4
4. ห้ามกินโจ๊กและเนื้อสัตว์
คนจีนมักจะไม่กินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีน เนื่องจากเชื่อว่า คนจนคือคนที่มักจะกินโจ๊กในตอนเช้า ดังนั้น การกินโจ๊กในตอนเช้าของวันตรุษจีนจึงเหมือนกับการขัดขวางไม่ให้ตัวเองร่ำรวย และทำตัวเหมือนคนจน ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงการไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย เนื่องจากเชื่อว่า เทพเจ้าที่ลงมาในตอนเช้าของวันตรุษจีนนั้นเป็นมังสวิรัติ
5. ห้ามซักผ้าในวันตรุษจีน
คนจีนเชื่อว่า เทพเจ้าแห่งน้ำเกิดในวันตรุษจีน ดังนั้น การซักผ้าในวันตรุษจีนจึงเปรียบเสมือนการลบหลู่ท่าน
6. ห้ามใส่ชุดขาวดำ
เสื้อผ้าที่เป็นสีขาวดำ เป็นสัญลักษณ์ของความตาย ดังนั้น การสวมเสื้อผ้าสีขาวดำในวันนี้จึงหมายถึงลางร้าย คนจีนจึงมักสวมเสื้อผ้าสีแดงกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเชื่อว่า สีแดงคือสีที่จะนำความโชคดีมาให้
7. ห้ามให้ยืมเงิน
คนจีนบางคนอาจจะหมายรวมการที่ไม่ให้ยืมสิ่งของต่าง ๆ นอกเหนือไปจากเงินแล้ว ซึ่งมีความเชื่อที่ว่า การให้ยืมเงินในวันนี้จะทำให้ทั้งปีมีคนเข้ามาขอยืมเงินตลอด รวมไปถึง หากใครที่ติดเงินใครไว้ ก็ควรที่จะคืนเงินก่อนวันตรุษจีน เพราะเชื่อกันว่า หากติดเงินใครในวันตรุษจีนแล้ว คน ๆ นั้นก็จะมีหนี้สินตลอดปีไม่จบไม่สิ้น
8. ห้ามทำของแตก
คนจีนเชื่อกันว่า การทำสิ่งของแตก เช่น ทำแก้วแตก ทำจานแตก หรือทำกระจกแตก ในวันตรุษจีนนั้น จะหมายถึงลางร้ายที่บอกว่าครอบครัวจะแตกแยก หรือมีคนเสียชีวิตในครอบครัว ดังนั้นในวันนี้ จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษไม่ให้สิ่งของในบ้านแตกหรือชำรุดเสียหาย แต่หากทำของแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็มีวิธีการแก้เคล็ดโดยการพูดว่า ”luo di ka hua" ที่แปลว่า ดอกไม้จะเบ่งบานเมื่อตกลงสู่พื้น
9. ห้ามซื้อรองเท้าใหม่
คนจีนจะถือคติที่ว่า จะไม่ซื้อรองเท้าใหม่ในเดือนแรกของวันตรุษจีน เนื่องจากคำว่า รองเท้า ในภาษาจีนออกเสียงว่าHai ซึ่งคำว่า Hai นี้ มีเสียงคล้ายกับการถอนหายใจ ซึ่งชาวจีนเชื่อว่า นั่นเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นปีที่ไม่ดี
ขอบคุณที่มาข้อมูลจาก
http://webboard.zubzip.com/?50067

หนัง 4D มีดีอะไร


เจ้า 4D มีดีไม่ใช่เล่นเลยล่ะ

ตัวภาษาอังกฤษ "D" ที่ต่อท้ายตัวเลข มาจากคำว่า Dimension หมายถึง มิติ ดังนั้น ภาพยนตร์ 4D ก็หมายถึงเป็นภาพยนตร์ 4 มิติ ซึ่งมันจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากแบบเดิมๆ อยู่มากทีเดียว
ตามโรงหนังธรรมดาที่มีอยู่ทั่วไป จะเป็นรูปแบบ 2D(เป็นรูปแบบปกติ ไม่ค่อยมีใครเรียกว่า 2D) คือ ภาพที่เราจะมองเห็นได้แค่ด้านกว้างและด้านยาวเท่านั้น แต่พอ 3D เริ่มเข้ามา ก็จะเป็นภาพที่มีมิติด้านลึก เนื่องจากเครื่องฉายแสดงผลภาพเร็วขึ้น จาก 24 fps เป็น 48 fps หรือ 72 fps บวกกับเทคนิคทางแสงและประมวลผล ทำให้ตาสองข้างของเรามองเห็นภาพต่างกัน ภาพที่เรามองเห็นจึงสมจริงมากขึ้น เพราะมีมิติที่ทำให้เราเห็นภาพนูนออกมาจากจอ โดยจะต้องมีตัวช่วยสำคัญอย่างแว่นสามมิติร่วมด้วย ถ้าเราไม่ใส่แว่นนี้ขณะดู ก็จะเห็นเป็นภาพมัวๆ ซ้อนๆ กันอยู่ แต่พอเราใส่ปุ๊บ มันจะชัดขึ้น เสมือนเราเข้าไปอยู่ในนั้น เช่น เวลาตกเหว อาจจะรู้สึกตกเหวลงไปจริงๆ หรือเวลาในฉากเขวี้ยงอะไรออกมา มันก็เหมือนสิ่งของพวกนั้น พุ่งมาใส่ตัวเราจริงๆ จนบางครั้งแอบมีเอี้ยวตัวหลบด้วย แต่หลายคนอาจจะต้องปวดหัวกับการใส่แว่นไปเลยก็มี

น้องๆ อาจจะสงสัยต่อว่า สามมิตินี่มันก็สุดแล้วไม่ใช่หรอคะ มิติที่ 4 คืออะไร?

ก่อนภาพยนตร์ 4D จะเข้ามาที่ไทย เคยบูมมากๆ ที่เกาหลี หลังจากนั้นไม่นานก็เข้ามาที่ไทยแล้ว แต่ไม่รู้ว่าบูมรึป่าว > สำหรับหนัง 4D ก็คือ ภาพยนตร์ 3 มิติ แต่เพิ่มมิติที่ 4 คือพวกสัมผัสและสิ่งแวดล้อมเข้าไปด้วย อย่างที่พี่มิ้นท์เกริ่นไปตอนเริ่มบทความแล้วว่า มีทั้งการสั่น ลม ละอองน้ำ ฯลฯ ซึ่งเทคโนโลยี 4D มันจะล้ำกว่าแบบ 3D ตรงที่มันจะเพิ่มเอฟเฟคต่างๆ ที่เหมือนพาเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในหนังเลย โดยจะเกิดจากเทคนิคต่างๆ ที่ติดตั้งไว้ในโรงหนัง กลไกของมันจะทำงานสัมพันธ์กับจังหวะเอฟเฟคที่เกิดขึ้นในหนัง คนดูก็จะอินมากๆ
ในส่วนของเก้าอี้นั่ง ก็สามารถเคลื่อนไหวได้ โยกซ้ายขวา หน้าหลัง สั่น เขย่า เป่าลม สะกิดก็ได้ด้วย (หลอนมาก) ส่วนเทคนิคการสร้างบรรยากาศ ก็จะมีละอองน้ำ กลิ่น แสง ยกตัวอย่าง เช่น ฉากระเบิด ถ้ามันแรงมาก เก้าอี้ที่เรานั่งก็จะสั่น มีกลิ่นไหม้ มีความร้อนแฝงมาเบาๆ เหมือนเหตุการณ์ระเบิดอยู่ตรงหน้าเราจริงๆ ฉากฝนตก ก็จะมี ละอองน้ำให้เราชุ่มฉ่ำเล็กๆ น้อยๆ อาจจะมีสายฟ้าฟาด เป็นแสงแว้บออกมา หรือตอนที่พี่มิ้นท์ดู มีฉากแมงมุมแตกรัง ก็จะมีเอฟเฟคมาขยุกขยิกอยู่ใต้ขา สารภาพบาปเลยว่าตอนนั้นตกใจกรี๊ดด้วย ฮ่าๆ ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเองนะ แค่นึกก็สนุกแล้วใช่มั้ยล่ะ



ดังนั้นด้วยเอฟเฟคตระการตาขนาดนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ที่หนังที่ฉายด้วยระบบนี้ จะเป็นหนังแนวแฟนตาซี หรือไม่ก็แอ็คชั่น เพราะมีฉากน่าตื่นเต้นเยอะ คนดูก็จะได้สนุกมากยิ่งขึ้น เช่น หนังฟอร์มยักษ์อย่าง Transformers 3 เป็นต้น สำหรับหนังไทยก็แว่วๆ มาว่าบางเรื่องจะผลิตมาในรูปแบบ 4D ด้วย ว้าวว!! 4D มีดีเยอะแยะเลยล่ะ


แต่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ก็ย่อมมาพร้อมกับราคาที่แพง ค่าตั๋วในโรงหนังแบบ 4D ก็ตกประมาณ 400 - 500 บาท ซึ่งแพงกว่าปกติหลายเท่า พี่มิ้นท์คิดว่าดูเพื่อเอาประสบการณ์ก็พอ ให้รู้ว่ามันสนุก เจ๋งแค่ไหน เพราะถ้าดูมากๆ ก็เปลืองเงินพ่อแม่โดยใช่เหตุนะคะ

แอปเปิ้ลเปลี่ยนสี ป้องกันได้!!


... ว่าแล้วตอนช่วงปีใหม่พี่มิ้นท์ก็มีข้อสงสัยที่เกี่ยวกับวิทย์ๆ อยู่อย่างนึงค่ะ คือ เวลาปอกแอปเปิ้ลกินเนี่ย ยังไม่ทันจะได้กินเลย มันก็ดำๆ เหลืองๆ ซะแล้ว น้องๆ รู้มั้ยคะ ว่ามันเป็นเพราะอะไร แล้วจะมีวิธีแก้ปัญหานี้ยังไง พี่มิ้นท์เอาคำตอบมาฝากกันด้วยค่ะ~~

ปกติแอปเปิ้ลจะมีเปลือกสีแดงหุ้มอยู่ ซึ่งประกอบไปด้วยสารแอนติออกซิเดนท์โพลีฟีนอลหลายชนิด หน้าที่ของมันช่วยป้องกันอันตรายจากแสงแดดและอากาศด้านนอกที่จะมีต่อเนื้อแอปเปิ้ล เนื้อแอปเปิ้ลก็เลยดูขาวสะอาด น่ากินตลอดเวลา ดูๆ ไปเปลือกก็คล้าย เกราะคุ้มกันภัยดีๆ นี่เอง


แต่เมื่อใดก็ตามที่เราปอกเปลือกทิ้ง อากาศภายนอกจะได้ลองลิ้มชิมรสกับเอนไซม์และสารที่อยู่ตรงผิวของแอปเปิ้ล จนเกิดเป็นสีน้ำตาลหรือดำอย่างที่เราเห็นเราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ปฏิกิริยาสีน้ำตาล
"ปฏิกิริยาสีน้ำตาล" (Enzymatic Browning Reaction) คือ ปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดจากเอนไซม์ในเซลล์ของผักหรือผลไม้ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ซึ่งเอนไซม์จะเป็นโปรตีนที่มีหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี ผลของมันก็คือ ทำให้เนื้อของผักผลไม้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ผลไม้ที่เจอกันบ่อยๆ ได้แก่ แอบเปิ้ล สาลี่ กล้วยหอม มังคุด เป็นต้น สังเกตมั้ยว่าส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้ที่มีเนื้อสีขาว พอมันกลายเป็นสีน้ำตาล จึงแลดูไม่น่ากิน คล้ายๆ กับช้ำ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่ามันช้ำ แต่ความจริงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด
วิธีป้องกันไม่ให้มันดำก็ยังมีอยู่เหมือนกัน คือ เมื่อปอกเสร็จแล้วก็เอาไปแช่น้ำเกลืออ่อนๆ ซึ่งน้ำเกลือจะเป็นตัวตายตัวแทนฉาบเนื้อแอปเปิ้ลเอาไว้ ออกซิเจนก็จะเข้ามาทำปฏิกิริยาสีน้ำตาลไม่ได้ เนื้อแอปเปิ้ลของเราก็จะขาวจั๊วะเหมือนเดิมแล้ว (วิธีนี้เอาไปประยุกต์ใช้กับผลไม้ชนิดอื่นๆ ได้เหมือนกัน ยกเว้นกล้วย... เอิ่ม คงไม่มีใครปอกกล้วยแล้วกินทีหลังใช่มั้ยอะ O_O )

หรือง่ายๆ ถ้าไม่อยากให้แอปเปิ้ลดำ ก็ปอกแล้วกินทันที หรือ ไม่ต้องปอกเปลือกเลยค่ะ ฮ่าๆ (ไม่ได้กวนประสาทนะ) รู้มั้ยว่าเปลือกแอปเปิ้ลมีประโยชน์มากมายเลย เรียกว่ามีสารอาหารที่สาวๆ ต้องการอยู่เยอะทีเดียว รวมถึงยังช่วยป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย เห็นแบบนี้แล้ว คราวหน้ากินแอปเปิ้ลยังจะปอกเปลือกอยู่อีกมั้ย (ตอบ - ปอกเหมือนเดิม!!!)

ทำไมเมืองไทยไม่มีหิมะตก


ทวีปเอเชียเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ตั้งบริเวณเส้นศูนย์สูตรไปจนถึงบริเวณขั้วโลกเหนือ อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 77 องศา 45 ลิปดาเหนือ ถึง 1 องศา 45 ลิปดาเหนือ และเส้นลองติจูดที่ 169 องศา 40 ลิปดาตะวันตก ถึง 26 องศา 4 ลิปดาตะวันออก โดยปกติเส้นละติจูดจะทำให้เรารู้สภาพอากาศของต่ำแหน่งประเทศนั้นๆ โดยตำแหน่งที่ตั้งที่มีค่าละติจูดต่ำ ก็จะมีอุณหภูมิสูงกว่าต่ำแหน่งพื้นที่ที่อยู่ละติจูดสูงกว่า เพราะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากกว่านั่นเอง ด้วยความกว้างขวางขนาดนี้ ทวีปเอเชียจึงมีความหลากหลายทางสภาพภูมิอากาศ เรียกว่ามีตั้งแต่ร้อนแห้งแล้งแบบทะเลทราย ไปจนถึงหนาวแบบขั้วโลก เลย



ถ้าน้องๆ ยังจำได้ตอนเรียนวิชาภูมิศาสตร์ จะรู้ว่าประเทศไทยตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูด 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ ถึง 20 องศา 25 ลิปดาเหนือ เรียกว่า อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรขึ้นมาเพียงนิดเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเขตร้อนชื้น โดยรวมอากาศมาตรฐานของไทยก็จะอบอ้าว สลับกันระหว่างร้อนกับฝนตก ถ้าร้อนก็จะร้อนตับแตก ถ้าฝนก็มีมรสุมหลายชนิด ถ้าหน้าหนาว ก็ให้ได้รู้สึกเย็นบ้างพอเป็นพิธี ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ โดยภาคเหนือจะหนาวที่สุด ส่วนภาคใต้จะไม่ค่อยหนาว เน้นฝนตกอย่างเดียว หลังจากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตแบบร้อนๆ ตามเดิม

ด้วยสภาพภูมิอากาศแบบนี้ก็พอจะอธิบายได้ว่า เมืองไทยยังหนาวไม่พอที่หิมะจะตกลงมาได้ เพราะหิมะจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศที่อุณหภูมิต่ำประมาณ 0 องศา หรือถ้ามีฝนตกร่วมด้วยก็อาจจะไม่ต้องถึง 0 องศา เพราะบรรยากาศมีความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสม

ถ้าจะอธิบายง่ายๆ หิมะ ก็คือ การรวมตัวของละอองน้ำในบรรยากาศ ที่ควบแน่นและตกลงมา ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆ ฝนค่ะ แต่จะแตกต่างตรงที่เมื่อละอองน้ำเจออากาศเย็นและมีความชื้นที่พอเหมาะ ก็เลยตกลงมาในรูปของผลึกน้ำแข็งนั่นเอง

ดังนั้นพื้นที่ที่จะเกิดหิมะได้ ก็จะต้องอยู่ใต้เส้น Tropic of capricron ในซีกโลกใต้ หรือ อยู่เหนือเส้น Tropic of cancer ขึ้นไปในซีกโลกเหนือ ซึ่งประเทศจีน รัสเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น อยู่เลยเส้นนี้ จึงมีหิมะตกได้ ส่วนประเทศไทยของเราล่ะ อยู่ตรงโซน Equator ซึ่งใกล้เส้นศูนย์สูตรพอดี๊พอดี ก็เลยไม่มีหิมะจ้า (ดูรูปประกอบด้านบน)