น้ำมัน(oil) ทองสีดำอันสูงค่า





น้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ติดไฟได้นั้นเป็นที่รู้จักกันดีมาช้านานแล้ว คนโบราณเรียกก๊าซธรรมชาติที่ติดไฟได้ที่ไหลออกมาเองนั้นว่า “ไฟกัป” คือไฟที่ลุกไหม้อยู่ตลอดเวลาไม่มีดับ ในคัมภีร์โบราณยังกล่าวถึงจุดที่น้ำมันไหลออกมาเองหลายจุดในทะเลเดดซี (Dead sea) ในสมัยโบราณถือว่าน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติที่ไหลออกมาเองนั้นเป็นพระเจ้า การบูชาไฟจากการเผาน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติเป็นวัฒธรรมที่ นิยมแพร่หลายกันมาก แพร่หลายไปจนถึงประเทศอิหร่านในศตวรรษที่ 7 คงเป็นเพราะประเทศนี้มีก๊าซธรรมชาติที่จุดติดไฟได้ไหลออกมามากมายหลายบริเวณจนนับไม่ถ้วนก็เป็นได้ มนุษย์ได้นำเอาน้ำมันไปใช้ทำอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างด้วยกันได้ใช้ทำเป็นยา ใช้จุดส่องแสงสว่าง และยังใช้ทำคบเพลิงเวลาสู้รบกัน หลายพันปีในสมัยเมโสโปเตเมีย ได้มีการขุดเอาแอสฟัลต์ไปใช้ในการก่อสร้าง ได้ใช้บิทูเมนเหนียว ๆ ทำเป็นตัวเชื่อมประสานแทนปูน ทำกำแพงรอบเมืองเพื่อป้องกันข้าศึก ในประเทศอียิปต์ ค้นพบหลักฐานว่าเมื่อประมาณ 3,000-4,000 ปีมาแล้ว ได้มีการใช้น้ำมันดิบหล่อลื่นล้อและเพลาของรถม้า ใช้จุดตะเกียง ใช้ประสานรอยต่อระหว่างแผ่นอิฐ ในประเทศจีน ราว 3,000 ปีมาแล้ว มีการใช้ปิโตรเลียมจุดตะเกียงตามบ้านเรือน ในราวศตวรรษที่ 17 มีการกลั่นน้ำมันจากหินน้ำมันโดยใช้ความร้อนจากฟืน การนำน้ำมันขึ้นมาใช้ได้ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ การนำน้ำมันขึ้นมาใช้ได้หยุดชะงักลงไประยะหนึ่งช่วงศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษ ที่ 19 เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ลุกลามกินอาณาบริเวณกว้างขวางและมีคนตาย การเปิดศักราชใหม่ของอุตสาหกรรมน้ำมันเกิดขึ้นเมื่อปี ค. ศ. 1859 เมื่อมีการเจาะหาน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในโลกที่เมืองทิทูสวิลล์ (Titusville) รัฐเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) สหรัฐอเมริกา โดย พันเอก เอ็ดวิน เดรก (Colonel Edwin Drake) บ่อน้ำมันหรือหลุมเจาะนี้ลึก 69.5 ฟุต ความสำเร็จนี้ทำให้คนตื่นน้ำมันกันมาก เพราะบ่อนี้ผลิตน้ำมันดิบได้วันละ 25 บาร์เรล และขายได้บาร์เรลละ 18 เหรียญอเมริกันสมัยนั้น และในปีค.ศ. 1860 โรงกลั่นน้ำมันที่ค่อนข้างสมบูรณ์ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองทิทูสวิลล์เช่นกัน โรงกลั่นนี้ประกอบด้วยหม้อกลั่น 6 ใบ และเครื่องฟอกสี อุปกรณ์ทั้งหมดรวมทั้งถังอยู่รวมกันภายใต้หลังคาเดียว ผลจากการกลั่นได้ผลิตภัณฑ์ไม่เกิน 50 % ของน้ำมันดิบ และยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับผลพลอยได้อื่น ๆ จึงเผาทิ้งเสีย ศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงเวลาที่ระบบนายทุนกำลังรุ่งเรืองมาก ทำให้เกิดความต้องการใช้น้ำมันจุดตะเกียงกันอย่างมาก บรรดาเทียนไขที่ทำจากไขสัตว์ชนิดต่าง ๆ นั้น และน้ำมันตะเกียงที่ได้จากพืชและสัตว์ไม่พอแก่ความต้องการ ในสมัยนั้นความต้องการใช้แสงสว่างไม่เพียงแต่ตามบ้านเท่านั้น อีกทั้งตามร้านค้า และโรงงานอุตสาหกรรมก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังต้องการใช้น้ำมันในการหล่อลื่นเครื่องยนต์อีกด้วย เป็นเหตุให้ต้องพยายามนำเอาน้ำมันแร่หรือน้ำมันปิโตรเลียมมาใช้แทน การผลิตน้ำมันจึงค่อยพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคของเครื่องไฟฟ้าและเครื่องจักร เครื่องยนต์ไอน้ำเปลี่ยนเป็นเครื่องจักรที่ใช้น้ำมันแทน เรือรบ เรือสินค้าทั้งหลายก็ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงแทน เพราะนอกจากจะให้ความร้อนสูงแล้ว ยังสะอาด และง่ายแก่การเก็บ การบรรทุกอีกด้วย สิ่งใหม่ ๆ ที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จาก น้ำมัน เช่น รถยนต์ เครื่องบิน รถถัง ในช่วงระยะ 40 ปีหลังๆ มานี้ การใช้น้ำมันและผลิตภัณฑ์ของน้ำมันนั้น ไม่เพียงแต่ใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการเคลื่อนที่ไปได้หรือในรูปน้ำมันหล่อลื่นเท่านั้น แต่ยังได้ใช้ผลิตผลอื่นๆ จากการขุดเจาะปิโตรเลียมในรูปวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเคมีอีกด้วย

0 Response to "น้ำมัน(oil) ทองสีดำอันสูงค่า"

แสดงความคิดเห็น