หอมอย่างมีเสน่ห์



เคล็ดลับในการพรมน้ำหอมนั้น สาวๆ สามารถใส่น้ำหอมได้หลายแบบ ถ้าสาวๆ ต้องการพรมน้ำหอมให้มีกลิ่นบางๆ ดูสบายๆ ก็สามารถทาโลชั่นหรือครีมทาผิวที่มีกลิ่นน้ำหอมที่เราชื่นชอบผสมอยู่ แต่ถ้าต้องการกลิ่นที่ติดทนนาน ก็ควรที่จะใช้ โอ เดอ เพอร์ฟูม หลังจากทาครีมทาผิวแล้ว

จุดสำคัญสำหรับการพรมน้ำหอมคือ บริเวณลำคอ แขน และด้านหลังหัวเข่า กลิ่นหอมมักจะลอยตัวขึ้นด้านบน ดังนั้นการพรมน้ำหอมที่ด้านหลังหัวเข่า จะส่งผลให้เกิดความหอมทั่วเรือนร่างได้อย่างแท้จริง

นอกจากนี้การฉีดน้ำหอมไปในอากาศด้านหน้าและเดินผ่านละอองน้ำหอมก็จะทำให้ละอองน้ำหอมติดอยู่บนเส้นผมของสาวๆ อีกด้วยนะคะ ส่วนระยะห่างในการฉีดน้ำหอมตามจุดสำคัญต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ควรจะฉีดน้ำหอมให้ห่างจากตัวประมาณ 6 นิ้วค่ะ

การเติมน้ำหอมในระหว่างวันนั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและลักษณะของน้ำหอมแต่ละชนิด น้ำหอมที่สกัดมาจากพรรณไม้ตะวันออก ดังเช่นกลิ่นโอเรียนทอลและวูดดี้ มักจะติดทนนานกว่ากลิ่นที่สกัดมาจากดอกไม้หรือผลไม้ น้ำหอมประเภท โอ เดอ เพอร์ฟูม ก็มักจะมีกลิ่นหอม เข้มข้นกว่าโคโลญจน์ เป็นต้น ตามปกติแล้วกลิ่นของน้ำหอมจะติดทนนานประมาณ 4-6 ชั่วโมง หลังจากนั้นสาวๆ ก็จะสามารถพรมน้ำหอมได้อีกครั้ง

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สาวๆ ไม่ควรที่จะฉีดน้ำหอมมากเกินไป เพราะกลิ่นจะฉุนจัดและไม่สร้างความประทับใจให้กับคนรอบข้างเอาเสียเลย ถ้าหากต้องการกลิ่นหอมแบบติดลึก แต่บางเบาสาวๆ ควรจะทาโลชั่นหรือครีมบำรุงผิวของกลิ่นน้ำหอมนั้นก่อนและจึงตามด้วยการพรมน้ำหอม ซึ่งสามารถทำให้กลิ่นหอมติดทนนาน และเป็นที่ประทับใจสำหรับตัวเราเองและคนรอบข้างด้วย

เห็นรึเปล่าล่ะคะว่าเทคนิคง่ายๆ แค่นี้ก็จะช่วยให้สาวๆ หอมได้อย่างมีเสน่ห์แล้ว ยังไงก็ลองนำไปใช้ดูนะจ๊ะ



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/girl/21765/หอมอย่างมีเสน่ห์.php#ixzz18qVj08w8

ทาครีมให้ถูกต้อง ต้องทำยังไง?



ก่อนอื่นสาวๆ จะต้องทราบก่อนนะคะว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการทาครีมคือ ในแต่ละครั้งที่สาวๆ ทาครีม สาวๆ จะต้องระวังห้ามทำให้ผิวเคลื่อนที่ค่ะ เพราะผิวของเรานั้น เปรียบเสมือนยางยืดค่ะ ยิ่งเราดึงออกมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งขยายออกมากเท่านั้น และก็จะทำให้เกิดริ้วรอยมากตามไปด้วยค่ะ … ระวังนะเผลอนวดหน้าแรงเกินไป หน้าเหี่ยวก่อนวัยไม่รู้ด้วยนะจ๊ะ


เทคนิคในการทาครีมให้ผิวหน้าของเรามีสุขภาพดีก็มีขั้นตอนง่ายๆ ก็คือ ให้สาวๆ วอร์มครีมที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง โดยถูมือเข้าหากันเบาๆ แล้ววางฝ่ามือทั้งสองข้างอย่างเบามือ ให้แนบสนิทพอดีกับแก้ม หน้าผาก คาง และคอ แล้วดึงมือออกแรงๆ จากนั้นค่อยกดเบาๆ ด้วยฝ่ามือ และนิ้วมือ เพื่อกระจายเนื้อครีมให้ทั่วใบหน้า และใ้ห้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้ดีขึ้นค่ะ

และอีกเคล็ดลับเล็กๆ นะคะ สำหรับการทาครีมบริเวณผิวรอบดวงตาก็คล้ายๆ กันค่ะ ให้วอร์มครีมก่อน จากนั้นใช้ปลายนิ้วกดเนื้อครีมเบาๆ ในแนวรอบดวงตาค่ะ ^^




มีสาวๆ หลายคนเลยที่ใช้วิธีการทาครีมแบบผิดๆ มาตลอด ทีนี้ได้รู้วิธีที่ถูกต้องแล้ว ก็ต้องนำไปใช้กันด้วยนะคะ ผิวหน้าของสาวๆ จะได้รับประโยชน์จากครีมได้เต็มที่ยังไงล่ะ



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/girl/21936/ทาครีมให้ถูกต้อง-ต้องทำยังไง.php#ixzz18qVJXiXM

สาวๆ จะเลือกออกกำลังกายเวลาไหนดี (' ')?




สาวๆ ควรจะออกกำลังกายในช่วงเช้า ช่วงกลางวันหรือจะเป็นช่วงเย็นๆ ดี ... ถ้าหากสาวๆ เลือกเวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกายแล้วละก็ เวลาในการออกกำลังกายจะมีผลต่อการเผาผลาญไขมันในร่างกายดีมากน้อยแตกต่างกันไปด้วยค่ะ

ดังนั้นก่อนออกกำลังกายไปในวันหนึ่งๆ สาวๆ จะต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายของการออกกำลังกายนั้นเพื่ออะไร แล้วจึงเลือกเวลาที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับการออกกำลังกายค่ะ

>>> ถ้าสาวๆ ออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก :: สาวๆ คนไหนที่ต้องการลดน้ำหนัก พี่เหมี่ยวขอแนะนำให้สาวๆ เลือกออกกำลังกายในช่วงเวลาตอนเช้าค่ะ เพราะในช่วงเวลานี้จะช่วยเผาผลาญแคลอรีดีกว่าการออกกำลังกายในช่วงตอนเย็น เนื่องจากร่างกายจะนำเอาคาร์โบไฮเดรตจากอาหารมื้อเย็นเของเมื่อวานที่ได้ทานเข้าไปมาใช้เป็น พลังงาน กฏของการลดน้ำหนักนั้นไม่ยากเลยค่ะ จำไว้ว่า “ทานให้น้อยใช้พลังงานให้เยอะมากพอ” อิอิ


>>> ถ้าสาวๆ ออกกำลังกายเพื่อต้องความแข็งแรง :: ถ้าหากสาวๆ ต้องการมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงควรออกกำลังกายในช่วงเวลาตอนบ่ายค่ะ เนื่องจากมีผลวิจัยออกมาแล้วว่า กล้ามเนื้อของเรานั้นจะใช้งานได้ดีที่สุดตั้งแต่เวลาเที่ยงเป็นต้นไปค่ะ

>>> ถ้าสาวๆ ออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลาย :: ดูเหมือนเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ต้องการเป้าหมายซักเท่าไหร่ อาจจะต้องการออกเพียงแค่เพื่อความผ่อนคลาย สาวๆ ควรหากิจกรรมทำให้ร่างกายเคลื่อนไหว มีพัฒนาการและการเสริมสร้างระบบในร่างกายที่ดีนั้นควรจเลือกออกกำลังกายในช่วงบ่ายๆ ค่ะ จะช่วยทำให้สาวๆ ไม่เครียดง่าย และยังช่วยให้นอนหลับสบายในตอนเวลากลางคืนด้วย แหมดีจริงๆ เลยนะคะเนี่ย

สิ่งที่สาวๆ ต้องทำไปควบคู่กับการออกกำลังกายก็คือ สาวๆ ต้องเลือกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ลดแป้ง กินผักผลไม้เยอะๆ งดอาหารจำพวกไขมันเยอะๆ เพราะอาหารที่เราทานนั้นมีผลต่อการออกกำลังกายเสมอค่ะ ถ้าสาวๆ เลือกกินผิดประเภทจะทำให้การเผาผลาญพลังงานไม่ดีพอ และสะสมเป็นไขมัน … ทีนี้ล่ะ ถึงแม้จะออกกำลังกายอยู่เป็นประจำทำยังไงไขมันก็ไม่หายไปแน่ๆ เลยล่ะค่ะ



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/girl/22207/สาวๆ-จะเลือกออกกำลังกายเวลาไหนดี.php#ixzz18qUVxOjZ

ตัดเล็บยังไงให้ถูกวิธี


ตัดเล็บยังไงให้ถูกวิธี


สำหรับการตัดเล็บที่ถูกต้องนั้น เราควรตัดเล็บให้มีขนาดสั้นพอประมาณ เพราะการไว้เล็บยาวเกินไปอาจทำให้เล็บเกิดฉีกขาดได้ง่าย ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเล็บฉีกบ่อยๆ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพเล็บ และถ้าเล็บฉีกลึกมากอาจทำให้เกิดแผลและติดเชื้อได้

ในการตัดเล็บนั้นควรตัดให้มีความโค้งมนไปตามนิ้วมือ ส่วนเล็บเท้านั้นพยายามตัดให้เป็นเส้นตรงมากที่สุดเพื่อลดการสะสมของความสกปรกตามซอกเล็บซึ่งความสกปรกนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเล็บขบได้ด้วยล่ะค่ะ

นอกจากนี้สาวๆ ไม่ควรตัดสั้นจนชิดเนื้อมากเกินไป และไม่ควรใช้วัสดุใดๆ งัดแงะขอบเล็บ จมูกเล็บ เพราะอาจเกิดบาดแผลและการอักเสบและติดเชื้อได้ และอีกสิ่งที่มาควบคู่กับการตัดเล็บก็คือการตะไบ การตะไบเล็บให้สวย ถ้าหากใช้ตะไบเล็บที่ทำจากเหล็ก ควรตะไบเล็บไปในทิศทางเดียว ไม่ควรถูกลับไปกลับมา เพราะจะทำให้เล็บเป็นเสี้ยนคมหรือฉีกได้ค่ะ แต่ถ้าใช้ตะไบเล็บที่ทำจากเซรามิกสามารถตะไบสวนทางกันได้ นอกจากนี้ การตะไบเล็บควรตะไบจากขอบเล็บเข้าหาปลายเล็บเสมอด้วยนะคะ

เมื่อสาวๆ ตัดเล็บและตะไบเล็บเรียบร้อยแล้ว สาวๆ จะต้องเช็คความเรียบร้อยด้วยว่าเล็บที่ตัดเสร็จแล้วนั้นมีเสี้ยนหรือมีความคมหรือไม่ ถ้ามีก็ควรตัดและตะไบเก็บความเรียบร้อย หลังจากนั้นล้างมือให้สะอาดและทาครีมบำรุงมือและเล็บด้วย

แค่นี้เล็บของสาวๆ ก็จะดูสวยสุขภาพดีแล้วล่ะค่ะ … จำไว้นะคะว่า บางครั้งการดูแลตัวเองในเรื่องเล็กๆ น้อยก็สำคัญกับสาวๆ เหมือนกันนะคะ ลองนำวิธีที่พี่เหมี่ยวแนะนำไปใช้ดูนะคะ รับรองว่าเล็บสาวๆ จะด้วยสุขภาพดีแน่นอนค่ะ





อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/girl/22397/ตัดเล็บยังไงให้ถูกวิธี.php#ixzz18qTTdkDg

โรคนอนไม่หลับมรณะ(Fatal Familial Insomnia)




โรคนอนไม่หลับมรณะ(Fatal Familial Insomnia)เรียก ได้ว่าเป็นอาการของโรคที่เลวร้ายที่สุด เป็นโรคที่หายาก และไม่ทราบสาเหตุของมันแน่ชัดแต่คาดว่าน่าจะเกิดจากพันธุกรรม มีสถิตการเกิดโรคนี้ประมาณ 28 ครอบครัวทั่วโลก เป็นโรคที่รักษาไม่หาย เป็นแล้วตายแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อเกิดโรคจะมีความทรมานยิ่งกว่ามะเร็งและเอดส์เสียอีก คืออาการแรกเริ่มก็คือนอนไม่หลับ ไม่ใช่ไม่หลับแค่ 2- 3 วันน่ะ แต่ไม่หลับตลอด 7-36 เดือนตั้งแต่เกิดโรคไปจนตายเลย(36 เดือนตาย แสดงว่าชีวิตคุณคงอยู่ได้ประมาณ 3 ปี โดยนอนไม่หลับ) และในระหว่างนั้นยังมีโรคอื่นๆ แทรกซ้อนอีก เช่น

1.คนไข้นอนไม่หลับ ทำให้เกิดอาการทางจิตกลัวอะไรต่างๆ มากมาย หวาดระแวง หวาดกลัว อาการเหล่านี้จะต่อเนื่องสี่เดือน

2.คนไข้เริ่มมีอาการระบบประสาทเห็นภาพหลอน ตื่นตระหนก อาการเหล่านี้จะต่อเนื่องห้าเดือน

3.ร่าง กายอ่อนแอ น้ำหนักลดลง เกิดอาการแพ้ต่างๆ อาการเหล่านี้จะต่อเนื่องสามเดือน

4.วิตก กังวล ความจำเสื่อม และช่วงท้ายๆ ของโรคจะไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ อาการเหล่านี้จะต่อเนื่องหกเดือน และเป็นอาการสุดท้ายของโลก คุณจะเป็นแบบนี้จนกระทั้งคุณตายลงอย่างทรมาน



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1891702#ixzz17o8mZmgw

ฮันนี่แบ๊ตเจอร์



ฮันนี่แบ็ตเจอร์เป็นสัตว์ที่ร้ายกาจที่สุดอาศัยอยู่ในแอฟริกาและเอเชีย ตะวันตกเฉียงใต้ มันอาศัยอยู่ใต้ดินโพลงๆ อยู่กันเป็นครอบครัวด้วยนะ ตั้ง 20 ตัวแนะอบอุ่นจังเลย มันว่องไว ฉลาด(ประดิษฐ์เครื่องมือต่างๆ ได้ เช่น บันได) มีเขี้ยวแหลมคม หนังหนา ทำให้มันจึงกลายเป็นสัตว์ใจกล้า(ไม่หน้าด้านนะ) ทำให้อาหารของมันมีเล็กจนถึงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น พวกสัตว์เล็กๆ พวกปลวก, กระต่าย, เม่น,งู(พิษไม่พิษกินหมด), แมงป่อง, กวาง, วิลเดอบิส(รูปร่างคล้ายวัว) สรุปคือสัตว์ทุกชนิดมันกินหมด(แต่มันชอบน้ำผึ้งมากกว่า) จนได้รับฉายาว่า "สัตว์ที่ไม่กลัวอะไรเลย" ชื่อของมันลงกินเนสบุ๊ค ปี 2002 มันเคยชนะจระเข้ด้วยนะ และมีรายงานว่ามันฆ่าสิงโต เสือดาว ด้วย

แอปเปิ้ลหลากสีต้านโรค !!! (OoO)



แอปเปิ้ล ผลไม้ที่มีขายกันอย่างแพร่หลาย แต่คุณจะรู้ไหมว่า เจ้าแอปเปิ้ล นี้มีประโยชน์กับสุขภาพร่างกายของเราแค่ไหน

แอปเปิ้ลแดง เป็นที่คุ้นตากันที่สุด โดยเฉพาะพันธุ์ "Red delicious" ที่มีจุดเด่นในเรื่องสุขภาพ คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วยค่ะ

แอปเปิ้ลสีชมพู เช่น แอปเปิ้ลพันธุ์ "Fuji" นั้น มีฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ แอปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้จะช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า ชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมี ฟลาโวนอยด์ ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้ด้วย

แอปเปิ้ลสีเขียว รสเปรี้ยวอมหวาน เป็นขวัญใจคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักก็มีดี ไม่แพ้ใคร เพราะการกินแอปเปิ้ลสีเขียว อย่างพันธุ์ "Granny Smith"นอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างอิลาสตินและคอลลาเจน ที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่นได้ดี

แอปเปิ้ลสีเหลือง เป็นแอปเปิ้ล ที่ออกจะมีประโยชน์ฉีกแนวต่างจากเพื่อนๆ เพราะแอปเปิ้ลสีเหลืองอย่างพันธุ์ "Golden Delicious" มีสารเคอร์เซตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก


เบียร์รักษาโรคสมองเสื่อมได้ !!!!!

เบียร์รักษาโรคสมองเสื่อมได้ มาดูกัน

หลายปีมานี้ นักโภชนาการและแพทย์จำนวนหนึ่งต่างค้นพบว่า เบียร์มีประสิทธิภาพพิเศษในการรักษาโรคได้หลายโรค โดยเฉพาะ
โรค สมองเสื่อม วิธีการรักษาคือ ดื่มเบียร์ 300 ซี.ซี. หลังอาหารเช้าครึ่งชั่วโมง และก่อนเข้านอนครึ่งชั่วโมง พร้อมกับรับประทานวิตามินบี2
จำนวน 20 กรัม ให้ทานติดต่อกัน 60 วัน ก็จะเห็นผล เล่ากันว่าวิธีรักษาแบบนี้ได้ผลถึง 90 % เลยทีเดียว ผู้ป่วยด้วยโรคประสาทอ่อนบางราย
ป่วยมานาน 10 - 20 ปี ต้องทุกข์ทรมานเพราะนอนไม่หลับแต่หลังจากรักษาด้วยวิธีนี้ ก็สามารถนอนหลับสบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2000191#ixzz17o629Vxm

9 อาการเตือนถึงสายตาที่อ่อนล้า

ยุค IT อย่างนี้ผู้คนต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์กันมากขึ้นและนานขึ้น แค่ทำที่ทำงานยังไม่พอบางคนยังหอบเอางานไปพิมพ์กันต่อที่บ้านหรือไม่ก็นั่ง เช็คอีเมลล์หรือแช็ตกับเพื่อนอีก ชีวิตที่ต้องขลุกอยู่กับคอมพิวเตอร์ทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ ทำให้ตาต้องทำงานหนักมากขึ้นจากการเพ่ง จ้อง และการ พยายามปรับโฟกัสภาพ ส่งผลให้หลายคนมีอาการผิดปรกติทางตา ลองสังเกตอาการเหล่านี้ว่ากำลังเกิดขึ้นกับตัวคุณเองหรือเปล่า
- ปวดหัวเสมอ ๆ ระหว่างทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือหลังจากทำเสร็จแล้ว
- ตาแห้งและระคายเคืองที่ตา
- มองเห็นไม่ชัด เห็นเป็นภาพเบลอๆ
- เวลาเปลี่ยนโฟกัสจากหน้าจอไปยังสิ่งของอย่างอื่น รู้สึกว่าโฟกัสได้ช้าลงกว่าปกติ
- สำหรับคนที่ต้องพิมพ์งานตามต้นฉบับเสมอๆ เวลาเลื่อนสายตาไปมา ระหว่างต้นฉบับกับหน้าจอแล้วมันจะหลุดบรรทัดบ่อย ๆ
- หลังจากที่จ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ แล้วมองภาพระยะไกลๆ ไม่ค่อยแจ่มชัด
- เห็ดภาพซ้อนเป็นบางครั้ง
- การรับรู้สีผิดเพี้ยนไปจากสีจริง หรือมองเห็นแสงสีแว้บๆในสายตา
- สายตาเปลี่ยนขนาดความสั้น ยาว เอียงไปจากเดิม

อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2000192#ixzz17o5pA36r

ผู้สร้าง "อาหารกระป๋อง" ขึ้นมาคนแรก คือ...???




อาหารกระป๋อง คือ อาหารที่ได้รับการแปรรูปและผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน ทำให้เชื้อราและแบคทีเรียที่จะทำให้อาหารเน่าเสียถูกกำจัดทิ้งไป หลังจากนั้นจึงนำไปบรรจุในกระป๋องหรือถุงที่มีสุญญากาศแล้วปิดให้สนิท

การผลิตอาหารกระป๋องครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1804 เมื่อ “จักรพรรดินโปเลียนที่ 1” ได้สั่งให้พ่อครัวที่ชื่อ “นิโคลัส ฟรองชัวร์ อัปแปร์ต” ไปคิดค้นวิธีการเก็บอาหารให้อยู่ได้นานๆ เพื่อใช้เป็นเสบียงอาหารให้แก่ทหารในช่วงสงคราม โดยในช่วงแรกนั้นอาหารจะถูกบรรจุลงในขวดและใช้จุกไม้ปิด ต่อมาในปี ค.ศ. 1810 นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษที่ชื่อ “ปีเตอร์ ดูรันด์” ได้คิดและพัฒนากระป๋องโลหะที่สามารถนำอาหารมาบรรจุและผนึกปิดฝาได้ขึ้นมา ซึ่งรูปแบบกระป๋องแบบนี้ก็ถูกนำมาใช้จนในปัจจุบันนี้

ผิวแห้งในหน้าหนาวดูแลยังไงดี?


ในบางคนที่มีผิวบางมากๆ อาจเกิดอาหารอักเสบระคายเคืองหรือมีอาการคันง่าย ริมฝีปากอาจแห้งแตก หนังศีรษะแห่งและลอก (เป็นรังแค) ไม่เพียงแค่นั้น ในช่วงที่อากาศหนาวแบบนี้ยังเป็นปัจจัยที่เอื้อให้โรคผิวหนังบางโรคเกิดการกำเริบได้ง่ายมากขึ้น เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) ผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมัน (Seborrheic Dermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นต้น

สำหรับสาวๆ อย่างพวกเรา การดูแลผิวในช่วงฤดูหนาวนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราจะต้องดูแลผิวหนังให้มีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา และถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นบ่อยๆ เพราะทำยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้น และหลังจากอาบน้ำควรทาโลชั่นให้ชุ่มชื้นหลักจากการอาบน้ำทุกครั้ง เนื่องจากหลังอาบน้ำใหม่ๆ น้ำยังระเหยไปไม่หมด โลชั่นจะอุ้มน้ำได้ดีค่ะ

ส่วนการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ในสาวๆ ที่มีอาการเป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนังซึ่งจะมีอาการผิวแห้งควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอม สี และสารกันเสีย เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย

สาวๆ คนไหนที่เป็นผิวปกติหรือผิวแห้งน้อยควรเลือกทาโลชั่นค่ะ แต่ถ้าเป็นสาวที่มีผิวแห้งปานกลางถึงแห่งมากควรใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื่นกับผิวชนิดที่เป็นครีมหรือขี้ผึ้ง ส่วนการเลือกใช้สบู่ควรเลือกใช้สบู่ที่มีความระคายเคืองต่อผิวน้อย เลือกใช้สบู่ที่ไม่มีความเป็นกรดหรือด่างมากจนเกินไป และเวลาที่สาวๆ อาบน้ำไม่ควรฟอกสบู่มากจนเกินไป เพราะจะทำให้ไขมันบนผิวหนังลดน้อยลงค่ะ สำหรับสาวๆ ที่มีผิวแห้งมากไม่ควรอาบน้ำเกินวันละ 2 ครั้ง โดยอาจอาบน้ำเปล่า และเลือกฟอกสบู่เฉพาะตามซอกต่างๆ ที่มีความอับชื้น เช่น คอ ขาหนีบ และรักแร้ ก็สามารถช่วยลดอาการแห้งของผิวได้ค่ะ

ครีมกันแดดก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับสาวๆ เสมอ เพราะในฤดูหนาวถึงอาจมีอากาศเย็นสบาย แต่ก็มีแดดแรงมากเช่นกัน การทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่สาวๆ อย่างเราไม่ควรมองข้าม เพราะในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งจะไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดริ้วรอยต่างๆ ดังนั้น สาวๆ จึงควรทาครีมกันแดดทุกวันและควรทาครีมกันแดดก่อนออกโดนแดดอย่างน้อย 30 นาที

หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. การทาครีมกันแดดควรทาให้เพียงพอ ไม่บางหรือหนาจนเกินไป ควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ มีความคงตัวสูง ไม่ว่าจะโดนน้ำ หรือเหงื่อ ไม่เหนียว สำหรับคนที่อยู่ในอาคาร ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ประมาณ 15 แต่ถ้าต้องออกไปโดนแดดจัด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ประมาณ 30

ฝึกนิสัยน้องหมาไม่ให้กลัวการอาบน้ำ



การฝึกนิสัยรักความสะอาดของสุนัข ควรเริ่มตั้งแต่เค้ายังเป็นเด็กอยู่ค่ะ ...

คุณผู้เลี้ยงควรทำให้เรารู้ว่า ทุกครั้งที่เค้าไปเล่นซนข้างนอกบ้าน ก่อนที่จะได้เข้ามาพักกินข้าวหรือเข้ามานอนในบ้าน(ในกรณีที่เลี้ยงน้องหมาไว้ในบ้าน) เค้าจะต้องถูกพาไปทำความสะอาดโดยการล้างเท้า หรือเช็ดตัวก่อน ถึงจะเข้าบ้านได้

ในตอนแรกสุนัขอาจจะมีการขัดขืนบ้าง แต่เราต้องพยายาม(แกมบังคับ)พาเค้าไปทำความสะอาดให้ได้ เมื่อทำบ่อยครั้งเข้า สุนัขจะเคยชิน และยอมให้เราทำความสะอาดโดยที่เราไม่ต้องบังคับ

ส่วนเรื่องของการอาบน้ำนั้น ถ้าเป็นสุนัขขนาดเล็ก โดยธรรมชาติเค้าจะค่อนข้างกลัวน้ำและไม่ชอบความชื้น ดังนั้นในการอาบน้ำ ผู้เลี้ยงควรเลี่ยงการอาบน้ำในช่วงที่มีอากาศเย็น

เช่น ช่วงค่ำ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วสุนัขจะรู้สึกเข็ดและไม่อยากอาบน้ำในครั้งต่อไปน้ำที่ใช้อาบควรเป็นน้ำอุ่นเพื่อป้องกันไม่ให้น้องหมาหนาวค่ะ ...





ในการอาบน้ำน้องหมาที่มีขนาดเล็กนั้น ผู้เลี้ยงอาจะไม่จำเป็นต้องสั่งให้เค้านั่ง
อย่างการอาบน้ำสุนัขตัวใหญ่ สามารถอาบน้ำได้ทั้งที่เค้ายังยืนอยู่ แต่ปัญหาคือสุนัขขนาดเล็กจะไม่ค่อยอยู่นิ่ง ดังนั้นเราจึงควรฝึกให้เค้าอยู่นิ่งๆ ก่อน

โดยการเริ่มจากล่ามโซ่หรือผูกสายจูงไว้เพื่อไม่ให้สุนัขดิ้น หรือวิ่งหนี หรืออาจจะใส่วิธีจับเค้าใส่กะละมังไว้(เหมือนอาบน้ำเด็ก)ก็ได้ วิธีนี้อาจไม่ได้ผลนักถ้าเจ้าของไม่ใช้คำสั่งเสียง เช่น "อยู่นิ่งๆ" "อยู่เฉย" หรือเรียกชื่อสุนัขประกอบไปด้วย

สิ่งที่ควรระวังเป็นอย่างยิ่งคือ อย่าให้น้ำเข้าหู หรือเข้าตา สุนัขเป็นอันขาด เพราะน้องหมาจะไม่สามารถช่วยตัวเองได้ และอาจจะเข็ดกับการอาบน้ำ

สำหรับสุนัขใหญ่ การอาบน้ำนั่นอาจทำได้ยากกว่าสุนัขเล็ก (สุนัขเล็กถ้ากลัวว่าเค้าจะหนาวสามารถพาไปอาบน้ำในห้องน้ำได้ แต่สุนัขใหญ่นั้น การอาบน้ำในที่โล่งน่าจะสะดวกมากกว่า)

ในกรณีที่เรียกน้องหมามาอาบน้ำ แล้วเค้าไม่มา เราไม่ควรใช้วิธีตี หรือดุเด็ดขาด เพราะจำทำให้สุนัขยิ่งมีอาการต่อต้าน ให้ผู้เลี้ยงใช้วิธีเรียกชื่อ หรือใช้อาหารสุดโปรดเป็นตัวช่วยในการล่อให้สุนัขยอมออกมา

เมื่อได้ตัวแล้วให้ใช้สายจูงหรือโซ่ล่ามไว้ แล้วค่อยลงมืออาบน้ำ เช่นเดียวกันกับสุนัขตัวเล็ก ผู้เลี้ยงควรระวังไม่ให้น้ำเข้าหูหรือตาสุนัข เวลาอาบน้ำสุนัขใหญ่ เราควรสั่งให้สุนัขนั่งลง เพื่อให้สะดวกต่อการทำความสะอาดบริเวณใต้ท้องและขา

ถ้าสุนัขไม่ยอมนั่ง ให้ใช้มือตบหรือกดเบาๆ บริเวณสะโพก เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้สุนัขนั่งลง ประกอบกับใช้คำสั่งเสียง "นั่งลง" หรือ "นั่ง" เพื่อให้สุนัขเข้าใจและปฏิบัติตาม

เมื่อเราใช้วิธีนี้ในการอาบน้ำเป็นประจำ สุนัขจะจดจำและสามารถปรับตัวได้เมื่อถึงเวลาที่จะต้องอาบน้ำ ... ยังไงเพื่อนๆ ลองนำวิธีนี้ไปใช้กับเจ้าตัวยุ่งดูนะคะ รับรองว่าช่วยลดปัญหาในการอาบน้ำไปได้แน่นอนค่ะ

วันลอยกระทง




ประวัติการลอยกระทงในเมืองไทย
การลอยกระทงในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย เรียกว่า การลอยพระประทีป หรือลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทงหรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า แม่น้ำเนรพุททา


การลอยกระทงในปัจจุบัน
การลอยกระทงในปัจจุบัน ยังคงรักษารูปแบบเดิมเอาไว้ได้ตามสมควร เมื่อถึงวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 12 ชาวบ้านจะจัดเตรียมทำกระทงจากวัสดุที่หาง่ายตามธรรมชาติ เช่น หยวกกล้วยและดอกบัว นำมาประดิษฐ์เป็นกระทงสวยงาม ปักธูปเทียนและดอกไม้เครื่องสักการบูชา ก่อนทำการลอยในแม่น้ำก็จะอธิษฐานในสิ่งที่มุ่งหวัง พร้อมขอขมาต่อพระแม่คงคา
ตาม คุ้มวัดหรือสถานที่จัดงานหลายแห่ง มีการประกวดกระทง ประกวดนางนพมาศ และมีมหรสพสมโภชในตอนกลางคืน นอกจากนั้นยังมีการจุดดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล ซึ่งในการเล่นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ วัสดุที่นำมาใช้กระทง ควรเป็นของที่สามารถย่อยสลายได้ง่ายตามธรรมชาติ


เหตุผลของการลอยกระทง
สรุปเหตุผลของการลอยกระทงในประเทศไทยดังนี้
1. เพื่อขอขมาแม่คงคา เพราะได้อาศัยนำท่านกินและใช้ และอีกประการหนึ่งมนุษย์มักจะทิ้งและถ่ายสิ่งปฏิกูลลงไปในนำด้วย
2. เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที ซึ่งประพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทประดิาฐานไว้บนหาดทรายที่แม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
3. เพื่อลอยทุกข์โศกโรคภัย และสิ่งไม่ดี คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์
4. เพื่อบูชาพระอุปคุต ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพแกพระอุปคุตอย่างสูง ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มากสามารถปราบพญา มารได้ การลอยกระทงไม่มีพิธีรีตอง เพียงแต่ขอให้มีกระทงจะทำด้วยอะไรก็ได้ เช่น ใบตอง การกล้วย กาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว กระดาษ จุดธูปเทียนปักที่กระทงแล้วอธิษฐานตามที่ตนปรารถนา เสร็จแล้วจึงลอยไปที่แม่นำลำคลอง



ไรขนตา ( Eyelash Mites ) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจำพวกปรสิต พวกมันมีอยู่ประมาณ 65 สายพันธ์ แต่มีอยู่เพียง 2 สายพันธ์ที่อาศัยอยู่กับมนุษย์คือ Demodex folliculorum และ Demodex brevis ทั้งคู่ถูกเรียกรวมๆ กันว่า ไรขนตา ( Eyelash Mites ) สำหรับตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดประมาณ 0.3-0.4 มิลลิเมตร ตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ และสายพันธ์ brevis จะมีขนาดเล็กกว่าสายพันธ์ folliculorum มีลักษณะร่างกายกึ่งโปร่งใส ลำตัวยาว ประกอบไปด้วยสองส่วน คือส่วนบนเป็นส่วนที่มีขาสั้นๆ แปดขา

ไรขนตา จะเห็นว่าเมื่อส่องด้วยกล้องจุลทรรศย์จะมีร่างกายกึ่งโปร่งแสง รูปซ้ายถ่ายบริเวณหลังของไรขนตา และรูปกลางถ่ายด้านท้องจะเห็นส่วนบนมีขาเล็กๆ 8 ขา และรูปขวาจะเห็นได้ชัดเจนว่าลำตัวสามารถให้แสงผ่านได้


มีปากเหมือนเข็มที่ไว้สำหรับกินเซลผิวหนัง น้ำมันส่วนที่สองเป็นส่วนลำตัวที่จะฝังอยู่ในรูขุมขน (ขนตา , ผม , ขนเพชร) พวกมันสามารถเคลื่นอที่โดยการเดินไปตามผิวหนังอย่างช้าด้วยความเร็วประมาณ 8-16 เซ็นติเมตรต่อชั่วโมงในเวลากลางคืน เนื่องจากพวกมันไม่ชอบแสง วงจรชีวิตของไรขนตามีอายุประมาณไม่ถึงเดือน เมื่อตัวผู้มาพบตัวเมียก็จะผสมพันธ์กัน และออกไข่ไว้ในรัง ( รูขุมขน ) อีก 3-4 วันก็จะฟักเป็นตัว และใช้เวลาอีกประมาณ 7 วันก็จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และเมื่อพวกมันตายลงก็จะใช้รูขุมขนเป็นหลุมฝังศพของพวกมัน มนุษย์ผู้ใหญ่ร้อยละ 95-98 มีไรขนตาอยู่บนร่างกาย แต่เด็กจะมีน้อยกว่าเนื่องจากมีน้ำมันที่ขับออกตามรูขุมขนน้อยกว่า ไรขนตาสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสบริเวณ ขน ผม ไรขนตาอาจเป็นปัญหาให้เกิดอาการคันเล็กน้อย ไม่มีอันตรายร้ายแรง

เลือกรองเท้าอย่างไรไม่ให้กัด

เลือกรองเท้าอย่างไรไม่ให้กัด
- ขนาดรองเท้าแต่ละยี่ห้อที่ติดไว้บนรองเท้าไม่เท่ากันเสมอไป จึงควรลองใส่จริง อย่าซื้อเพียงแค่เป็นเบอร์เดียวกับที่เคยใส่
- เลือกรองเท้าที่เหมาะกับรูปเท้าของคุณ เช่นปลายเท้ากว้างไม่ควรเลือกรองเท้าหัวเล็กและแคบ
- ไปซื้อรองเท้าในช่วงบ่ายหรือเย็น เพราะเป็นเวลาที่เท้าขยายตัวมากที่สุด
- เท้าทั้งสองข้างของคนเราไม่เท่ากัน และขนาดเท้าจะเปลี่ยนไปเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้นก่อนซื้อควรทดลองใส่ทั้งสองข้าง พร้อมลองเดินเพื่อให้แน่ใจว่ารู้สึกสบายและกระชับทุกครั้งที่ก้าวเดิน
- ลองลุกขึ้นยืน เพื่อดูว่าหัวรองเท้ามีที่ว่างถัดจากปลายนิ้วเท้าที่ยาวสุดประมาณครึ่งนิ้ว หรือไม่ และให้ดูว่าข้อต่อนิ้วกระชับพอดีกับส่วนกว้างที่สุดของรองเท้าหรือไม่ ถ้าปลายนิ้วมีความยาวกว่าครึ่งนิ้ว หรือข้อต่อนิ้วพอดีกับรองเท้ามากเกินไป แสดงว่าคับ ควรเปลี่ยนเป็นคู่ที่ใหญ่กว่าหนึ่งไซส์
- พื้นรองเท้าด้านในควรมีผิวสัมผัสนุ่ม รองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการเดินได้ดี และไม่มีช่องว่างระหว่างฝ่าเท้าและพื้นรองเท้าขณะสวมใส่
- ส้นรองเท้า ควรกระชับพอดีกับด้านหลัง ไม่ขยับขึ้นลงได้

แต่หากเลือกมาอย่างดีแล้ว รองเท้าใหม่เจ้ากรรมก็ยังทำไม่ประสงค์ดีต่อเท้าของเราจนได้ อย่างนี้ก็ต้องหาวิธีดูแลเท้าเป็นการด่วน

ความรู้เบื้องต้น

ตุ่มน้ำพอง คือผิวหนังบริเวณที่พองบวมขึ้นเนื่องจากมีของเหลวคั่งอยู่ภายใน ซึ่งเป็นผลมาจากการเสียดสีซ้ำๆ ระหว่างเท้าและรองเท้า
ข้อควรระวัง

ตุ่มน้ำพองมักเกิด บริเวณที่ผิวหนังเสียดสีกับรองเท้าหรือถุงเท้า และบริเวณที่ถูกรัดแน่น ทำให้ผิวเหนอะหนะและเพิ่มแรงเสียดสีกับรองเท้า ซึ่งถ้าหากเริ่มมีรอยแดงและอาการเจ็บ ถือว่านั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าผิวหนังชั้นนอกสุดเริ่มแยกตัวออก และจะกลายเป็นตุ่มพองในไม่ช้า

ทางออก
- ส่งรองเท้าใหม่ที่มีหนังแข็งกระด้าง ไปให้ร้านซ่อมรองเท้าใช้เครื่องมือถ่างให้หนังยืดตัวออก จะช่วยให้รองเท้าหนังคู่ใหม่นิ่มขึ้นได้
- ทาวาสลีนบริเวณผิวเพื่อลดการเสียดสี ดูแลเท้าให้แห้งเสมอ สวมถุงเท้าขณะออกกำลังกายเพื่อช่วยดูดซับความชื้น ถ้าเท้าเปียก ให้โรยแป้งฝุ่นสำหรับเท้าเพื่อทำให้ผิวแห้ง
- ติดปลาสเตอร์หรือแผ่นรองกันกระแทกเพื่อบรรเทาอาการเจ็บและลดแรงเสียดสี




จาก :: http://webboard.yenta4.com/topic/435927




มาเตรียมรับมือไม่ให้ 'หมากัด' ด้วยคำแนะนำจากเรากันเถอะ

เชื่อมั้ยว่าในแต่ละปีที่สหรัฐฯ มีคนถูกสุนัขกัดมากกว่า 4.7 ล้านคน และ 60% เป็นเด็ก แต่เราสามารถปลอดภัยจากคมเขี้ยวน้องหมาได้หากเรารู้จักรับมือ

* อย่าจ้องตาสุนัขตรงๆ อย่างนี้ถือว่า "หาเรื่อง"

* อย่าวิ่งผ่านหรือวิ่งหนีเจ้าตูบ มิเช่นนั้นอาจเกิดอาการมันเขี้ยวจนวิ่งมาไล่คุณได้

* ห้ามยุ่งกับสุนัขที่กำลังกินหรือนอนหลับอยู่เด็ดขาด ข้อนี้รวมถึงสุนัขแม่ลูกอ่อนด้วยนะ

* ถ้ามันกำลังขู่ใส่เรา อย่าตะโกน ให้ไล่อย่างใจเย็น จากนั้นก็อยู่นิ่งๆ จนกว่าสุนัขจะเป็นฝ่ายเดินหนีไปเอง

* หากถูกสุนัขโจมตี ให้หาของให้มันกัดอย่างเสื้อหรือรองเท้า แต่ถ้าล้มให้พยายามขดตัวเอาไว้แล้วเอามือปิดหน้าไม่ให้มันกัดได้

นะคะ กับ น่ะค่ะ (ภาษาไทยที่มักใช้กันผิด)

ความแตกต่างของคำว่า "นะคะ" กับ "นะค่ะ"


คะ ค่ะ ....... สองคำนี้แหละเจอบ่อยที่สุด (คะ = เสียงวรรณยุกต์ ตรี , ค่ะ = เสียงวรรณยุกต์ เอก) มันใช้ไม่เหมือนกันนะครับ ผมจะยกตัวอย่างเช่น

ขอบคุณนะคะ ไม่ใช่ ขอบคุณน่ะค่ะ
ใช่ค่ะ ไม่ใช่ ใช่คะ
ถูกไหมคะ? ไม่ใช่ ถูกไหมค่ะ?
สวัสดีค่ะ ไม่ใช่ สวัสดีคะ
เห็นด้วยไหมคะ? เห็นด้วยค่ะ ไม่ใช่ เห็นด้วยไหมค่ะ? เห็นด้วยคะ

คิดง่ายๆ ดังนี้

คะ ใช้เวลาตั้งคำถาม เช่น ใช่ไหมคะ, ไปไหนมาคะ, สบายดีไหมคะ, อะไรนะคะ
ค่ะ ใช้เวลาตอบคำถาม เช่น ถูกต้องค่ะ, ใช่ค่ะ, กลับมาจากเซ็นทรัลฯ ค่ะ, สบายดีค่ะ

เกี่ยวกับคำว่า ขอบคุณค่ะ ไม่ใช่ ขอบคุณคะ
แต่ถ้าจะใช้เป็น ขอบคุณนะคะ ไม่ใช่ ขอบคุณนะค่ะ

ทายนิสัยจากการส่องกระจก :)


ยิ้มเสมอ
คน นี้จะยิ้มใส่กระจกทุกครั้งที่เดินผ่าน ไม่ได้หมายความว่าหลงตัวเองนะ ที่จริงคนแบบนี้เป็นคนง่าย ๆ คบคนได้ทุกเพศทุกวัย เขาเป็นเพื่อนที่วิเศษเลย

ทำหน้าตาให้ดูดีก่อนส่องกระจก
คนที่ทำหน้าตาให้ดูดีก่อนส่องกระจก เป็นคนรักสนุก ไม่ช่างคิด ไม่จุกจิก เป็นคนใจกว้าง และชอบเรื่องสนุก ๆ

รักสวยรักงาม
คน ๆ นี้ ถ้าเจอกระจกทีไหนจะต้องหยุดทักทายกระจกทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน แสดงว่าเป็นคนที่มีความสามารถเป็นเลิศในเรื่องความรัก แต่ก็ต้องการความมั่นคงสูง ชอบเอาอกเอาใจคนอื่น

ช่างสำรวจ
ใคร ก็ตามที่ยื่นหน้าเข้าไปเกือบชิดกระจก แล้วค่อย ๆ ตรวจตรา ใบหน้าที่ละเซนต์หน่ะ รู้นะคิดอะไรอยู่ เป็นคนช่างคิด ขี้ระแวงสงสัย หมั่นไตร่ตรอง ก่อนจะออกความเห็นอะไร ต้องคิดแล้วคิดอีก แต่คนประเภทนี้จะเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์มาก

ทำหน้าขมึงทึง
ทำหน้าบูดบึ้งใส่กระจก เป็นคนใจแคบ เอาตัวเองเป็นที่ตั้งในทุก ๆ เรื่อง ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น

ไม่ชอบ หรือไม่สนใจที่จะส่องกระจก
คือ วัน ๆ แทบไม่มองกระจกเลย เพราะไม่ค่อยใส่ใจภาพพจน์ทางร่างกายเท่าไหร่นะ เป็นคนโดดเดี่ยว เอาจริงเอาจังกับชีวิต คนนี้ล่ะเหมาะที่จะมอบหมาย งานให้มากที่สุด

กว่าจะมาเป็นธงชาติไทย

ธงผืนแรก ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดงเกลี้ยง ใช้ใน สมัยอยุธยา - พ.ศ. 2325(ธงเรือหลวง) สมัยอยุธยา - พ.ศ. 2398(ธงเรือเอกชน)

การบังคับใช้ ใช้เป็นธรรมเนียมสืบมาตั้งแต่สมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ธงค้าขาย (ถึง พ.ศ. 2398) ธงเรือหลวง (ถึง พ.ศ. 2325)


ธงผืนที่ 2 ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดง กลางมีรูปจักรวงใหญ่สีขาว ธงเรือหลวง

การบังคับใช้ พระบรมราชโองการใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ. 2325 - 2360


ธงผืนที่ 3 ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดง กลางมีรูปช้างเผือกในวงจักรสีขาว ธงเรือหลวง

การบังคับใช้ พระบรมราชโองการใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ. 2360 – 2398


ธงผืนที่ 4 ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดง กลางมีรูปช้างเผือกเปล่าหันหน้าเข้าหาเสาธง ธงชาติ ธงค้าขาย และธงราชการ

การบังคับใช้ พระบรมราชโองการใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชบัญญัติว่าด้วยแบบอย่างธงสยาม รศ. 110

พระราชบัญญัติธง ร.ศ. 116
พระราชบัญญัติธง ร.ศ. 118
พระราชบัญญัติธง ร.ศ. 129

(พ.ศ. 2398 - 2459)


ธงผืนที่ 5 ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดง กลางมีรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่นหันหน้า

เข้าหาเสาธง ธงราชการ

การบังคับใช้ พระราชบัญญัติธง ร.ศ. 129 (ธงราชการ)
พระบรมราชโองการ ประกาศเพิ่มเติมและแก้ไขพระราชบัญญัติธง ร.ศ. 129 พ.ศ. 2459

(พ.ศ. 2459 - 2460)


ธงผืนที่ 6 ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 6 ส่วน ยาว 9 ส่วน แบ่งเป็นแถบสีขาวสลับแดงห้าแถบ แถบสีแดงและสีขาวชั้นนอกกว้างแถบละ 1 ส่วน แถบสีแดงตรงกลางกว้าง 2 ส่วน

ธงค้าขาย


การบังคับใช้ พระบรมราชโองการ ประกาศเพิ่มเติมและแก้ไขพระราชบัญญัติธง ร.ศ. 129 พ.ศ. 2459(ในชื่อ\"ธงค้าขาย\") (พ.ศ. 2459-2460)


ธงผืนที่ 7 ธง สี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 6 ส่วน ยาว 9 ส่วน แบ่งเป็นแถบริ้วห้าแถบ แถบกลางสีน้ำเงินกว้าง 2 ส่วน แถบสีแดงและสีขาวชั้นนอกกว้างแถบละ 1 ส่วน
ธงชาติและธงราชการ


สระผมวันไหนดี ไม่ดี .. (ความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ)


ดูวันสระผม

สระผม

· สระผม วันอาทิตย์ จะมีอายุยืน

· สระผม วันจันทร์ จะมีแต่โชคลาภ ร่ำรวยเงินทอง

· สระผม วันอังคาร จะชนะศัตรู

· สระผม วันพุธ ไม่ดี จะเป็นความ หรือถูกใส่ร้ายป้ายสี

· สระผม วันพฤหัสบดี ดีมาก และเทวดาจะรักษา เป็นสิริสวัสดิ์กับตัวท่านเอง

· สระผม วันศุกร์ ดี จะอยู่เย็นเป็นสุข

· สระผม วันเสาร์ ดีมาก ทำสิ่งใดคิดสิ่งใดก็จะประสบความสำเร็จ


ผิวใส..ทำอย่างไรกันนะ ???

กินเจปีนี้ กินยังไงให้ได้ประโยชน์

สำหรับ “อาหารเจ” เป็นอาหารที่ปรุงจาก “พืช-ผัก” เป็นหลัก ปราศจากเนื้อสัตว์ ไม่มีส่วนประกอบใดที่นำมาจากสัตว์ทุกประเภท อีกทั้งอาหารเจที่แท้จริงยังต้องปรุงโดยปราศจาก “พืชผักฉุน 5 ประเภท” ด้วย

พืชผักฉุน 5 ประเภทที่ “ต้องห้าม” สำหรับอาหารเจ ก็ ประกอบด้วย...
1. กระเทียม (หมายรวมถึงหัวกระเทียม ต้นกระเทียม)
2. หัวหอม (หมายรวมถึงต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่)
3. หลักเกียว (คือกระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม แต่มีขนาดเล็กและยาวกว่า ในไทยไม่พบว่าปลูกแพร่หลาย)
4. กุยช่าย (คล้ายใบหอม แต่แบนและเล็ก กว่า)
5. ใบยาสูบ (บุหรี่ ยาเส้น ของเสพติดมึนเมา)



อาหารเจหรืออาหารของคนกินเจ ถ้าวัตถุดิบที่ใช้ปรุงปลอดภัย ปรุงถูกหลักเจ กินถูกหลักเจจริง ๆ จึงจะถือว่าเป็นอาหารที่ปรุงและกินตามหลักเวชศาสตร์และเภสัชศาสตร์โบราณของจีนเท่านั้น

การกินเจที่ถูกสุขอนามัย นอกจากพืชผักแล้วก็ควรต้องกิน “ผลไม้สด” ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลังอาหารทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอ ควรกิน “ผัก-ผลไม้ให้ครบ 5 สี 5 ธาตุ” สลับเปลี่ยนหมุนเวียนในแต่ละวันคือ 1.สีแดง (แดงส้ม แสด ชมพู) ธาตุไฟ 2.สีดำ (น้ำเงิน ม่วง) ธาตุน้ำ 3.สีเหลือง (เหลืองแก่ เหลืองอ่อน) ธาตุดิน 4.สีเขียว (เขียวเข้ม เขียวอ่อน) ธาตุไม้ 5.สีขาว (ขาวนวล ขาวสะอาด) ธาตุโลหะ

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือผู้ที่กินอาหารเจควรกิน “เมล็ดธัญพืช” กิน “พืชที่เป็นหัวในดิน” เช่น เผือก มัน กลอย กิน “ถั่ว” ซึ่งมีคุณค่าโภชนาการสูง โดยถั่วจะมีสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ นอกจากนี้ยังควรกินถั่วทั้ง 5 สีเป็นประจำ ซึ่งถั่วแดงดีต่อหัวใจ, ถั่วดำดีต่อไต, ถั่วเหลืองดีต่อม้าม, ถั่วเขียวดีต่อตับ, ถั่วขาวดีต่อปอด


และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “สาหร่ายทะเล” ทั้งสดและแห้ง พร้อมทั้งใช้ “เกลือทะเล” ปรุงอาหาร โดย 2 อย่างนี้มีไอโอดีน ซึ่งสามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี

ควรจะต้องกินอาหารหรือขนมที่ใส่ “งาขาวและงาดำ” โดยในเมล็ดงามีกรดไขมันไลโนเลอิคที่จำเป็นต่อร่างกายมาก และร่างกายเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ซึ่งในการกินเจนั้น หากกินงาในปริมาณวันละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ก็นับว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

และท้ายที่สุดคนที่กินอาหารเจ “ไม่ควรกินรสจัดเกินไป” เพราะรสขมจัดส่งผลเสียต่อหัวใจ รสเค็มจัดส่งผลเสียต่อไต รสหวานจัดส่งผลเสียต่อม้าม รสเปรี้ยวจัดส่งผลเสียต่อตับ รสเผ็ดจัดส่งผลเสียต่อปอด รวมไปถึงควร “เลี่ยงการกินอาหารหมักดอง” ผักดอง ผลไม้ดอง ควรกินแต่อาหารสดที่ปรุงใหม่ ขณะที่ในส่วนของเครื่องดื่ม ควรดื่ม “น้ำผลไม้สด” ที่ดีต่อร่างกาย และดื่ม “น้ำสะอาด” วันละอย่างน้อย 8 แก้ว เป็นประจำ

ปากกาเคมีก็มีอันตรายเหมือนกันนะ !



เคยสังเกตเวลาใช้ปากกาไวท์บอร์ดหรือปากกาเคมีมั้ยคะว่ามีกลิ่นฉุนของสารเคมีออกมาเวลาที่เขียนด้วยรึเปล่า ถ้ามีขอแนะนำให้เปลี่ยนมาใช้ตราม้าดีกว่าค่ะ เพราะกลิ่นที่ว่านั้นคือสารเคมีที่เรียกว่า "ไซลีน”สารไซลีนใช้เป็นทินเนอร์หรือสารละลายในหมึก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมผลิตสี อุตสาหกรรมงานพิมพ์ โรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ อู่เคาะพ่นสี ฯลฯ


สารไซลีน สามารเข้าสู่ร่างกายคนเราได้ทางผิวหนังและการหายใจ เมื่อผ่านเข้าทางผิวหนังจะ่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง อย่างรุนแรง ส่วนการหายใจเข้าสู่ร่างกาย จะถูกส่งไปยังปอด ผ่านเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต ส่งผลต่อร่างกายได้หลายระดับ ตามปริมาณที่รับเข้าไป เช่น ทำให้มึนงง ปวดศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียน เกิดการเสียวคอและหน้าอก เกิดการระคายเคืองตาและระบบทางเดินหายใจ ไอและน้ำมูกไหล นอกจากนี้การรับสารไซลีน ในปริมาณไม่มากต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน ก็สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน การสูดไอเคมีเข้าไปเรื่อยๆ จะไปกระตุ้นและกดระบบประสาทส่วนกลาง เช่น เกิดอาการชา สั่นกระตุก หวาดกลัว ความจำเสื่อม อ่อนเพลีย จิตใจกระวนกระวาย ทรงตัวลำบาก เบื่ออาหาร คลื่นเหียน และท้องอืด


ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีอย่าง ปากกาไวท์บอร์ด หรือ ปากกาเคมี ควรสังเกตฉลากด้านข้าง อย่างละเอียดว่า มีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัยอย่างเครื่องหมาย AP และ CE หรือไม่ สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้จะละเลยไม่ได้นะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง

ใครกดดันกับการสอบบ้าง ??


เครียดจนเกินไป ทำสอบไม่ได้ เกิดความเศร้าซึมกันอีก ก่อนจะถึงขั้นนั้นเรามาดูแลตัวเองให้ดีๆ เพื่อทนรับแรงกดดันกันดีกว่า


เป็นกันทุกคนตั้งแต่ ป.1 ถึง ม.6 ความกดดันตื่นเต้น ก็จะยิ่งทำให้ความคิดตันไปด้วย ถ้ากลัวสมาธิกระเจิง คิดความรู้ไม่แล่น คุณต้องจัดการกับความกดดันตั้งแต่อยู่นอกห้องสอบ


ฝึกนั่งสมาธิ จะเอาไว้ก่อนหรือหลังอ่านหนังสือก็ได้ ทำความคิดของเราให้นิ่งวันละ 5-10 นาที เริ่มแรกจะเริ่มจาก 1-3 นาทีก่อนก็ได้ จิตใจที่นิ่งขึ้น จะทำให้จัดการกับแรงกดดันได้ดี มีสมาธิในการแก้ไขโจทย์ตรงหน้าอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอนครับ


ฝึกทนความกดดันในห้องสอบ บรรยากาศภายในห้องสอบมันต่างกับข้างนอกมากอย่างเช่น บางคนลองฝึกทำโจทย์ชิลล์ๆ คิดไม่ออกก็หยิบขนมกิน เปิดทีวีดูไปเรื่อย หรือทำไม่ได้ก็ข้ามไปวิชาอื่น ในการสอบจริงจังพอหนุ่มๆ เจอภาวะกดดันเข้าชักไม่คุ้น ทำตัวไม่ถูก จะทำไปช้าๆ ชิลล์ๆ ก็เหลือโจทย์อีกกว่า 80 ข้อ แล้วก็เกิดปัญหาที่ชาวเด็กแอดฯเจอบอ่ยๆ คือ ทำข้อสอบไม่ทัน ครูปุ๋มแนะนำให้เราทำโจทย์ข้อสอบเก่าด้วยการฝึกรับแรงกดดันเช่น เราควรจับเวลาในการทำข้อสอบนั้น 10 ต้องทำให้ได้ใน 15 นาที การฝึกนี้นอกจากจะทำให้เราต้องคิดเร็วและทำให้เราทนรับความกดดันจนคุ้นเคย

สาวๆ จะเลือกออกกำลังกายเวลาไหนดี ?


สาวๆ คงจะทราบกันดีใช่รึเปล่าคะว่า “การออกกำลังกาย” ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้ร่างกายของสาวๆ แข็งแรงและมีรูปร่างที่ดี … แต่เคยสงสัยกันบ้างรึเปล่าคะว่า “เวลาไหนคือเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการออกกำลังกาย?”

สาวๆ ควรจะออกกำลังกายในช่วงเช้า ช่วงกลางวันหรือจะเป็นช่วงเย็นๆ ดี ... ถ้าหากสาวๆ เลือกเวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกายแล้วละก็ เวลาในการออกกำลังกายจะมีผลต่อการเผาผลาญไขมันในร่างกายดีมากน้อยแตกต่างกันไป
ดังนั้นก่อนออกกำลังกายไปในวันหนึ่งๆ สาวๆ จะต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายของการออกกำลังกายนั้นเพื่ออะไร แล้วจึงเลือกเวลาที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับการออกกำลังกายค่ะ

>>> ถ้าสาวๆ ออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก :: สาวๆ คนไหนที่ต้องการลดน้ำหนัก พี่เหมี่ยวขอแนะนำให้สาวๆ เลือกออกกำลังกายในช่วงเวลาตอนเช้าค่ะ เพราะในช่วงเวลานี้จะช่วยเผาผลาญแคลอรีดีกว่าการออกกำลังกายในช่วงตอนเย็น เนื่องจากร่างกายจะนำเอาคาร์โบไฮเดรตจากอาหารมื้อเย็นเของเมื่อวานที่ได้ทานเข้าไปมาใช้เป็น พลังงาน กฏของการลดน้ำหนักนั้นไม่ยากเลยค่ะ จำไว้ว่า “ทานให้น้อยใช้พลังงานให้เยอะมากพอ”


>>> ถ้าสาวๆ ออกกำลังกายเพื่อต้องความแข็งแรง :: ถ้าหากสาวๆ ต้องการมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงควรออกกำลังกายในช่วงเวลาตอนบ่ายค่ะ เนื่องจากมีผลวิจัยออกมาแล้วว่า กล้ามเนื้อของเรานั้นจะใช้งานได้ดีที่สุดตั้งแต่เวลาเที่ยงเป็นต้นไปค่ะ




>>> ถ้าสาวๆ ออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลาย :: ดูเหมือนเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ต้องการเป้าหมายซักเท่าไหร่ อาจจะต้องการออกเพียงแค่เพื่อความผ่อนคลาย สาวๆ ควรหากิจกรรมทำให้ร่างกายเคลื่อนไหว มีพัฒนาการและการเสริมสร้างระบบในร่างกายที่ดีนั้นควรจเลือกออกกำลังกายในช่วงบ่ายๆ ค่ะ จะช่วยทำให้สาวๆ ไม่เครียดง่าย และยังช่วยให้นอนหลับสบายในตอนเวลากลางคืนด้วย แหมดีจริงๆ เลยนะคะเนี่ย
สิ่งที่สาวๆ ต้องทำไปควบคู่กับการออกกำลังกายก็คือ สาวๆ ต้องเลือกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ลดแป้ง กินผักผลไม้เยอะๆ งดอาหารจำพวกไขมันเยอะๆ เพราะอาหารที่เราทานนั้นมีผลต่อการออกกำลังกายเสมอค่ะ ถ้าสาวๆ เลือกกินผิดประเภทจะทำให้การเผาผลาญพลังงานไม่ดีพอ และสะสมเป็นไขมัน … ทีนี้ล่ะ ถึงแม้จะออกกำลังกายอยู่เป็นประจำทำยังไงไขมันก็ไม่หายไปแน่ๆ เลยล่ะ


โจ๋นอนน้อยกว่า 8 ช.ม.เสี่ยงอ้วน

โจ๋นอนน้อยกว่า 8 ช.ม.เสี่ยงอ้วน




ศาสตราจารย์ซูซาน เรดไลน์ นักวิจัยด้านเภสัชศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ ทำการวิจัยกับวัยรุ่นจำนวน 240 คน อายุ 16-19 ปี เป็นเวลา 3 สัปดาห์ โดยกำหนดให้ร้อยละ 80 เป็นคนอ้วน

พบว่า วัยรุ่นกลุ่มที่นอนน้อยกว่า 8 ชั่วโมง โดยเฉพาะวัยรุ่นสาว มีอัตราการดูดซึมแคลอรีจากไขมัน สูงขึ้นร้อยละ 2.2 ขณะที่อัตราการดูดซึมแคลอรีจากคาร์โบไฮเดรตกลับลดต่ำลงร้อยละ 3
นอกจากนี้นักวิจัยยังระบุว่า การนอนน้อยกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกขาดพลังงาน ทำให้เราเผลอกินขนมจุบจิบไม่รู้ตัวในช่วงตี 5 ถึง 7 โมงเช้าเป็นประจำ
ใครเป็นตามนี้ต้องปรับพฤติกรรมได้แล้วนะ

ภัยจากสเปรย์ฉีดผม

ภัยจากสเปรย์ฉีดผม

พิษภัยต่างๆ รายรอบตัวเราทุกวันนี้มีอันตรายมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะจากของกินของใช้ในชีวิตประจำวันของเราเองนั่นแหละคือแหล่งสารพิษตัวร้าย บางอย่างมีอันตรายถึงชีวิต

หนังสือ "บ้านปลอดพิษชีวิตปลอดภัย" เขียนโดย ผศ.ดร.พูลสุข ปรัชญานุสรณ์ ของสำนักพิมพ์มติชน ได้รวบรวมนานาสารพันเกี่ยวกับสารเคมีที่เจือปนอยู่ในข้าวของต่างๆ ไว้อย่างน่าสนใจ

ตัวอย่างสารพิษที่อันตรายมาก แต่หลายคนอาจคาดไม่ถึง อาทิสเปรย์ฉีดผมที่นิยมใช้กันนั้น ก็มีสารชนิดหนึ่งมากเป็นพิเศษ นั่นคือ สารฟธาเลต (Phthalate) ซึ่งจากการศึกษาวิจัยในประเทศอังกฤษระบุว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ใช้สเปรย์ฉีดผมมาก มีโอกาสที่ลูกในครรภ์จะป่วยเป็นโรคไฮโพสปาเดียส(Hypospadias) สูงถึงสองเท่าตัว

โรคนี้จะทำให้ท่อปัสสาวะของผู้ชายมีลักษณะผิดปกติ และมีการพบว่ามีส่วนทำให้น้ำหนักตัวของทารกแรกเกิดน้อยกว่าปกติด้วย

นอกจากนี้ ยังพบว่าสารนี้ยังก่อให้เกิดการเบี่ยงเบนทางเพศของเด็กชาย โดยกระบวนการเบี่ยงเบนทางเพศเป็นลักษณะหญิง เกิดขึ้นในขณะตั้งครรภ์ เมื่อมารดาได้รับสารพิษจะทำให้การทำ งานของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนของเด็กชายในครรภ์ถูกรบกวน

นักวิจัยพบว่า เด็กที่ได้รับสารฟธาเลตสูงตั้งแต่อยู่ในครรภ์จะหลีกเลี่ยงการเล่นของเล่นพวกรถ รถไฟ หรือปืน อีกทั้งไม่ชอบการเล่นที่รุนแรง แต่กลับสนใจการละเล่นหรือของเล่นที่เด็กหญิงชอบ

นอกจากในสเปรย์ฉีดผม สารฟธาเลตยังพบมากในไวนีล พีวีซี และพลาสติกหลากหลายชนิดด้วย ดังนั้น หากกำลังตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์ฉีดผม สเปรย์ปรับอากาศ น้ำยาย้อมผม น้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์ รวมถึงผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม และยาระงับกลิ่นกายทั้งหลาย
จะเป็นการดีที่สุด

มาทำความรู้จักกับ "พระเจ้าเหา" กัน ;))

รูปพระเจ้าเหา


รูปถ่ายพระบรมศพ พระเจ้าเหา (น้อย) พระมหากษัตริย์ ต้นตระกูลไทยพระบรมศพนี้อยู่ ณ เมืองจูฟู มณฑลซานตุง (ซัวตัง)



คำว่า "พระเจ้าเหา" นี้ใช้อ้างอิงกันบ่อยมาก ในกรณีที่ผู้พูดต้องการเน้นว่าเรื่องที่ตนพูดเป็นเรื่องโบราณเต็มที แต่มักไม่ใคร่มีใครทราบว่า "พระเจ้าเหา" นั้นมีองค์จริง หรือเรื่องราวปรากฎอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีความว่า พระเจ้าเสียวเหา หรือ พระเจ้าเหา(น้อย) เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าหว่างตี้ ราชวงค์ที่1 ปฐมกษัตริย์ของจีน ครองราชย์ 2145-2055 ปี ก่อนพุทธศักราช อยู่ในราชสมบัติ 100 ปี มีพระอัครชายา 5 องค์ พระนางชีเลงสี พระมารดาพระเจ้าเหา(น้อย) เป็นพระอัครชายาที่1



มีพระโอรส 3 องค์ คือ

1. ชังฮี

2. พระเจ้าเหา(น้อย)

3. หล่งเมี้ยว

พระเจ้าเหา(น้อย)เป็นพระโอรส อันดับที่ 2 พระองค์ขึ้นครองราชย์เมื่อปีมะโรง 2045 ปี ก่อนพุทธศักราช และสวรรคตเมื่อ ปีเถาะ 1971 ปี ก่อนพุทธศักราช พระองค์เป็นต้นตระกูลไทย ในบันทึกประวัติศาตร์จีน มีชัดแจ้งอยู่ว่า เชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหานี้ ได้รับพระราชทานตราตั้ง ราชกูล "ไทไท" เป็นฐานันดรศักดิ์ประจำตระกูล ฉะนั้นพระเจ้าเหาจึงนับว่าทรงเป็น ต้นตระกูลไทย และว่าเป็น บรรพบุรุษของไทย ดังที่บรรพบุรุษไทยแต่โบราณกาลมักอ้างเสมอว่า คนไทยนี้เป็นลูกหลานพระเจ้าเหา ที่น่าสังเกตคือ มีคำพูดอันหมายถึงเก่าแก่เหลือเกิน ติดปากคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้ว่า โอ๊ย เก่าแก่ตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาโน่น

โรคจอประสาทตาเสื่อม กินปลาช่วยได้

การกินปลามากๆ นอกจากจะมีผลดีต่อสมองของเราแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดความเสียงโรคจอประสาทตาเสื่อมได้อีกด้วย



ข้อมูลดังกล่าว ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ในบัลติมอร์ โดยถึงแม้ว่าผลการวิจัยนี้จะไม่ได้พิสูจน์ว่าการกินปลาลดความเสี่ยงในการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม (เอเอ็มดี) ได้ร้อยเปอร์เซ็น แต่บอนไนลิน เค. สวีเนอร์ นักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้กล่าวว่า การค้นพบนี้ตอกย้ำงานวิจัยในอดีตที่แสดงให้เห็นว่า คนที่กินปลามีแนวโน้มมีอัตราการเป็นโรคเอเอ็มดีน้อยกว่าคนที่ไม่ค่อยกินปลา
งานศึกษาที่อยู่ในวารสารออปทัลโมโลจี้ยังสนับสนุนทฤษฎีที่ว่า กรดไขมันโอเมกา-3 ที่ส่วนใหญ่พบในปลาที่มีไขมันอย่างซัลมอน แมกเคอเรล และอัลบาคอร์ทูนานั้น อาจมีผลต่อพัฒนาการหรือความคืบหน้าของโรคเอเอ็มดีได้ ทั้งนี้ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการบ่งชี้ว่า อาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมกา-3 อาจลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเอเอ็มดีของผู้ป่วยบางคนได้ แต่จำเป็นต้องมีการวิจัยในเรื่องนี้เพิ่มเติม


โดยในการศึกษานี้ สวีเนอร์และทีมนักวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างอายุ 65 - 84 ปี ที่เข้ารับการตรวจสายตาและทำแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินอาหารอย่างละเอียด จำนวน 2,520 คน ซึ่งผลปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่าง 15% มีอาการเอเอ็มดีระยะต้นหรือระยะกลาง แต่มีแค่ 3% อยู่ในขั้นรุนแรง ขณะที่คนที่กินปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งมีแนวโน้มมีอาการเอเอ็มดีขั้นรุนแรงน้อยกว่าคนที่กินปลาเฉลี่ยไม่ถึงสัปดาห์ละครั้งถึง 60%


จากผลการวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยไม่พบความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างการกินปลากับความเสี่ยงในการเป็นโรคเอเอ็มดีของกลุ่มตัวอย่าง แต่พบความเชื่อมโยงระหว่างการกินปลาที่มีกรดไขมันโอเมกา-3 สูง กับความเสี่ยงในการเป็นเอเอ็มดีขั้นรุนแรง


สำหรับโรคเอเอ็มดีเกิดจากเส้นเลือดหลังจอประสาทตาขยายผิดปกติ และเป็นสาเหตุหลักของอาการตาบอดในผู้สูงวัย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ แต่การบำบัดบางวิธีอาจช่วยป้องกันหรือชะลอการสูญเสียการมองเห็นขั้นรุนแรงได้


ถึงแม้ตอนนี้การหยุดยั้งความคืบหน้าของเอเอ็มดีด้วยปลาหรือโอเมกา-3 ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถรับรองได้ชัดเจน แต่ขณะนี้กำลังมีการขยายผลรายงานของรัฐบาลสหรัฐอมริกา เพื่อค้นหาว่าการเพิ่มน้ำมันปลา และสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างลูทีนและซีแซนทีน ในอาหารเสริมดั้งเดิม จะทำให้ประโยชน์ในการต่อต้านเอเอ็มดีเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งจะต้องติดตามผลในลำดับต่อไป



5 สิ่งมหัศจรรย์ที่ "สิงคโปร์"

5 สิ่งมหัศจรรย์ที่ "สิงคโปร์"


ขอนำเรื่องราวจากประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆ เมืองไทยที่ถึงแม้จะเป็นประเทศเล็กๆ แต่ก็ได้ชื่อว่าเจริญสุดๆ เลยล่ะ นั่นก็คือ "สิงคโปร์" นั่นเองค่ะ
เชื่อเลยว่าถ้าใครเคยไปสิงคโปร์ จะต้องรู้สึกอะเมซิ่งกับความเจริญและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองเค้าซึ่งนับว่าเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มาก แต่ความมหัศจรรย์ในสิงคโปร์ยังมีอีกมากมาย ได้แก่ 5 ข้อต่อไปนี้เลย !


1. สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติมาก หลักๆ ก็คือจีน (มีกว่า 70 เปอร์เซนต์) รองลงมาคือชาวมาเลย์ และชาวอินเดียนั่นเองค่ะ ดังนั้นในสิงคโปร์จึงมีย่านที่เป็นของเชื้อชาตินั่นโดยเฉพาะ ได้แก่ ย่าน China Town ที่เป็นย่านของคนจีนโดยเฉพาะ และย่าน Little India ที่เป็นย่านของคนอินเดีย .... จึงว่ากันว่า ที่สิงคโปร์นั้น หากมีคนเดินมาพร้อมกัน 5 คน ขอให้เชื่อได้เลยค่ะว่าทั้ง 5 คนนั้น เป็นคนละเชื้อชาติแน่นอน ^^




. พลเมืองแทบจะทุกคนในสิงคโปร์พูดภาษาอังกฤษได้และพูดได้ดีซะด้วย นั่นก็เพราะว่าประเทศสิงคโปร์ประกอบไปด้วยหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรมที่นี่จึงเป็นอะไรที่พหุวัฒนธรรมสุดๆ ดังนั้นภาษาที่จะทำให้แต่ละชาติคุยกันรู้เรื่องจึงไม่พ้นภาษาอังกฤษค่ะ (ลองคิดสิว่าคนอินเดียจะไปซื้อของในร้านที่คนจีนขายได้ยังไง ถ้าไม่พูดภาษาอังกฤษ) คนบางคนแม้กระทั่งคนเร่ร่อนจากข้างถนนที่เราไม่คิดว่าเค้าจะพูดภาษาอังกฤษได้ กลับพูดได้ แถมพูดได้ดีซะด้วย !!


3. ประเทศสิงคโปร์ มีการแบ่งถนนออกเป็นซอยๆ ซอยเลขคู่อยู่ฝั่งนึง เลขคี่อยู่ฝั่งนึง เหมือนบ้านเราเด๊ะ ! แต่คำว่า "ซอย" ที่สิงคโปร์เค้าจะเรียกกันว่า Lor ค่ะ เช่น Lor 1 ก็หมายถึงซอย 1 เนี่ยแหละ ได้บรรยากาศเมืองไทยมากๆ 5555
4. ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีห้างเยอะมากๆๆ โดยเฉพาะบนถนน Orchard (ออชาร์ด) ถนนสายช้อปปิ้งแค่ถนนเดียว มีห้างสรรพสินค้ารวมกันเกือบ 20 ห้าง ! เช่น ห้างทาคาชิมายะ (ห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่น และมีร้านหนังสือคิโนคุนิยะที่ใหญ่มาก) ห้างพารากอน (ชื่อเหมือนห้างบ้านเรา ขายของแบรนด์เนมแบบเดียวกันเด๊ะ) และห้างอะไรต่ออะไรอีกมากมาย เดินได้เป็นสัปดาห์ก็ยังเดินไม่ทั่ว



5. และล่าสุดกับ Marina Bay Sand โรงแรมสุดใหญ่ยักษ์แห่งใหม่ล่าสุดของสิงคโปร์ ที่เพิ่งจะเปิดบริการไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ที่นี่ไม่ใช่แค่โรงแรมธรรมดานะคะ เพราะมีทั้งส่วนช้อปปิ้ง ส่วนของคาสิโน แถมยังมีเรือกอลโดล่าไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ล่องเรือกันขำๆ อีกด้วย (ถ้าใครพอนึกภาพเวเนเชียนที่มาเก๊าหรือลาสเวกัสออก อย่างนั้นเลยค่ะ) แต่จุดเด่นของ Marina Bay Sand คงต้องขอยกให้กับสถาปัตยกรรมการออกแบบ โดยเฉพาะชั้นบนสุดที่ทำเป็นเรือยอร์ช หากมองจากมุมไกลๆ ก็ทำให้รู้สึกเสียวว้าบๆ ได้ว่า เรือมันจะพุ่งออกจากตึกมั้ยนะ - -" แต่ยังไงก็ขอปรบมือดังๆ ให้แก่สถาปนิกเลยว่าคิดได้ไงเนาะ เก่งจัง